น้ำมันที่ใช้ในการทำสบู่ตามปฏิกริยา "Saponification Reaction "มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันแต่ต่างกันที่ปริมาณของสารที่ส่งผลต่อคุณสมบัติของสบู่.ตามที่เคยกล่าวมาในตอนต้นๆที่กล่าวถึงกรดไขมันชนิดต่างๆเช่น Lauric acid ,Linoleic acid ,Myristic acid.,i.e,.ทั้งสิ้นมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกัน.
ดังต่อไปนี้.
1.Lauric Acid.

Lauric Acid มีสูตรโมเลกุลดังนี้C12H24O2

โครงสร้างโมเลกุลของLauric Acid
Lauric Acid เป็นกรดไขมันแบบอิ่มตัวที่พบมากในน้ำมันมะพร้าว,น้ำมันแก่นในปาล์มและยังพบมากอีกในน้ำนมของมนุษย์ (6.2% ), นมวัว(2.9%), และนมแพะ(3.1%).
นอกจากนั้นเรายังพบlauric Acid ใน

# แหล่งข้อมูล:https://en.wikipedia.org/wiki/Lauric_acid
น้ำมันLaurel ที่ประกอบด้วย Lauric Acid
Luaric Acid ถูกนำมาใช้มากกับผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงผิวเพราะสามารถคงความชุ่มชื้น,คงความอ่อนนุ่มลดความหยาบกระด้าง,ยังยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและยังช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของสิว.นอกจากนั้นLauric Acid ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างของผิว,ขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไปและผิวยังสามารถดูดซับLauric Acid ลงสู่ผิวได้รวดเร็วมาก.
สำหรับความปลอดภัยและผลข้างเคียงจากการใช้ Lauric Acid นั้นมีมาตรฐานการรับรองทั้งจาก CIR และ FDAในเครื่องสำอาง.และในวารสารงานวิจัย Journal of the American College of Toxicologyที่ตีพิมพ์ในปี 1987 ได้มีการกล่าวถึงLauric Acid ใน CosmeticDatabase and the Environmental Working Group ในด้านความปลอดภัยในการนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมว่า Lauric Acid มีความปลอดภัยอยู่ที่ 68%.และยังถูกนำมาใช้ผสมเป็นอาหารเสริมเพื่อลดน้ำหนักอีกด้วย.

Lairic Acid ในสบู่ธรรมชาติช่วยให้สบู่คงรูปแข็ง,เพิ่มคุณสมบัติในการทำความสะอาดและให้ฟองที่นุ่มและเบา.




แปลและเรียบเรียงใหม่:https://www.truthinaging.com/ingredients/lauric-acid

ตามที่เคยแยกชนิดของสารลดแรงตึงผิวหรือที่เรียกกันว่า Surfactant ออกเป็น 4ประเภท. Surfactant เมื่ออยู่ในสารละลายผสมจะแยกออกเป็น 2 ส่วนคือส่วนหัวที่เป็น Hydrophilic ส่วนนี้จะชอบน้ำและอีกส่วนคือ Hydrophobic ส่วนนี้จะชอบน้ำมัน.
ตามรูป

หลักการทำงานของ Surfactant
        ส่วน Hydrophobic ซึ่งเป็นส่วนที่ชอบน้ำจะจับกับโมเลกุลของน้ำในขณะที่อีกส่วนคือ Hydrophobic ซึ่งเป็นส่วนที่ชอบน้ำมันก็จะหันไปจับกับโมเลกุลของน้ำมัน.ตามธรรมชาติน้ำกับน้ำมันเป็นสารคนละประเถทไม่สามารถรวมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกันได้.และน้ำมันจะแยกตัวแขวนลอยอยู่ในน้ำ.
ตามรูปข้างล่าง
      
การจำแนกประเภทของSurfactant นั้นเราใช้ชนิดของประจุไฟฟ้าที่อยู่บนส่วนที่ชอบน้ำHydrophilic.และแบ่งออกมาได้ 4 จำพวกตามนี้.
  1. Aninonic Surfactant (-) สารลดแรงตึงผิวชนิดประจุลบ เป็นสารกลุ่มหลักของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกได้ดีมาก มีฟองมาก และละลายน้ำได้ดี แต่ค่อนข้างระคายเคืองผิว นิยมใช้กันมากใน สบู่ แชมพู ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าต่างๆ น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างรถ  เช่น SLS (Sodium laureth sulfate), SLES(Sodium laureth sulfate), Sarcosinate, Sodium / Ammonium Lauryl Ether Sulphate,  Sodium /Ammomiun LaurylSulphate,  Linear Alkyl Benzene Sulphonate ( LAS) เป็นต้น
  2. Cationic Surfactant (+) สารลดแรงตึงผิวชนิดประจุบวก สารกลุ่มนี้ไม่มีความสามารถในการทำความสะอาด และไม่มีฟอง แต่สามารถเกาะและเคลือบเส้นผมได้ดี จึงนิยมใช้ในกลุ่มของ ครีมนวดผม หรือ น้ำยาปรับผ้านุ่ม เช่น Cetyltrimethyl ammonium bromide (CTAB), benzalkonium chloride, Polyquaternium, Alkyltrimethyl ammoniumchloride เป็นต้น
  3. Amphoteric Surfactant (+,-) สารลดแรงตึงผิวที่มีทั้งประจุบวกและลบ สารทำความสะอาดกลุ่มน้ำมีคุณสมบัติทนต่อน้ำกระด้าง อ่อนโยนต่อผิว สามารถใช้ร่วมกับ SLS, SLES ได้ดี เมื่อใช้ร่วมกันสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์มีเนื้อข้นขึ้นได้ ให้ฟองนุ่มมาก แต่ทำความสะอาดได้ไม่ดีเท่า Anionic Surfactant จึงนิยมใช้ร่วมกัน สารในกลุ่มนี้เช่น Cocamidoproply Betain เป็นต้น
  4. Nonionic Surfactant สารลดแรงตึงผิวชนิดนี้ไม่มีประจุ สารในกลุ่มนี้มีแตกต่างกันไป ตั้งแต่ละลายน้ำไม่ได้ จนละลายน้ำได้ดีมาก สารกลุ่มนี้อ่อนโยนต่อผิวมาก แต่ไม่ให้ฟอง บางคนไม่ชอบเพราะไม่มีฟอง ทำให้รู้สึกว่าไม่สะอาด จริงๆแล้ว การมีฟองหรือไม่มี ไม่ได้เกี่ยวกับการทำความสะอาด ชะล้างสิ่งสกปรกเลย มันจึงเป็นความเชื่อผิดๆที่ว่ายิ่งฟองเยอะยิ่งสะอาด  การที่ฟองยิ่งเยอะจะทำให้ผิวเรายิ่งระคายเคืองด้วยซ้ำ เช่น Lauryl Glucoside, PEG-6 Caprylic/Capric Glycerides เป็นต้น  ซึ่งนิยมใช้ใน เจลล้างหน้าสูตรไม่มีฟอง และ ผลิตภัณฑ์กลุ่มล้างเครื่องสำอางต่างๆ.       
                จะเห็นว่าสารลดแรงตึงผิวที่มีประจุลบจะมีคุณสมบัติทำให้เกิดฟองดีที่สุด ส่วนสารลดแรงตึงผิวที่มีทั้งประจุบวกและลบจะมีคุณสมบัติในการทำให้พื้นผิวอ่อนนุ่มดีที่สุด สารลดแรงตึงผิวแต่ละชนิดมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ในปัจจุบันได้มีการนำสารลดแรงตึงผิวแต่ละชนิดมาผสมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
                 รอยเปื้อนจากไข่,นมและเลือดเป็นรอยเปื้อนจากโปรตีนและไม่ละลายในน้ำ.จัดว่าเป็นรอยเปื้อนที่ทำความสะอาดยากที่สุด.การทำความสะอาดใช้ได้อย่างเดียวproteolytic enzymes (enzymes able to break down proteins) ผสมกับdetergents,  proteinic substance ทำให้น้ำซึมผ่านได้และdetergent จะทำให้รอยเปื้อนจำพวกนี้กระจายตัวผสมกับน้ำมัน.ปัจจุบันพบว่าEnzymeที่ถูกนำมาใช้ในการกำจัดรอยเปื้อนเหล่านี้ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมในเชิงลบ.แต่ก็ยังมีการนำมาใช้อยู่.

แหล่งข้อมูล:https://www.britannica.com/technology/detergent
                 https://dss.go.th,https://content.chemipan.net












จากตารางเราจะเห็นว่าน้ำมันแต่ละชนิดมีปริมาณของ สารตามข้อ1-9 แตกต่างกันและนั่นเป็นสาเหตุให้สบู่ธรรมชาติที่ผลิตมีคุณสมบัติไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมันที่ใช้.ตารางดังกล่าวเราจะนำมาใช้ทั้งในสบู่ก้อนและสบู่เหลว.
นอกจากนั้นในการผลิตสบู่ธรรมชาติ.ปริมาณด่างที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นKOH หรือ NaOH ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมันอีกด้วย. น้ำมันแต่ละชนิดมีค่า Saponification แตกต่างกัน.ค่า Saponification คือค่าอะไร.เราจะมาดูกันต่อไป.

Saponification number ในที่นี้เราจะเรียกสั้นๆว่าค่า SAP .ค่า SAP คือค่าจำนวนมิลลิกรัมของด่างซึ่งในที่นี้คือ KOH โปตัสเซียม ไฮดรอกไซต์ หรือ NaOH โซเดียม ไฮดรอกไซต์ ที่ใช้ทำปฏิกริยาอย่างสมบูรณ์กับไตรกลีเซอไรด์ ( triglycerine) ในน้ำมันหรือไขมันแล้วได้เป็นเกลือของกรดไขมันซึ่งคือ Crude soap และ กลีเซอรอล.
ค่า SAP จะถูกใช้เป็นดัชนีบอกน้ำหนักโมเลกุลของกรดไขมันที่มีอยู่ในไขมันหรือน้ำมันชนิดนั้นๆ.กลับกันถ้าน้ำมันหรือไขมันชนิดไหนมีค่า SAP ต่ำแสดงว่าน้ำหนักโมเลกุลของไตรกลีเซอไรค์ในกรดไขมันของน้ำมันนั้นๆมีน้ำหนักโมเลกุลสูง.แสดงว่าจำนวนโมเลกุลของไตรกลีเซอไรค์ต่อหน่วนน้ำหนักของน้ำมันนั้นๆมีค่าน้อย.ปริมาณของด่างที่ต้องใช้ในการไฮโเรไลซิสกับน้ำมันนั้นๆก็จะน้อยตามไปด้วย.                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                   
แหล่งข้อมูล:http://www.naturalhealthblogger.net/soap-saponification-charts/
บทบาทของน้ำมันชนิดต่างๆในการผลิตสบู่ธรรมชาติ
 ในสมัยโบราณที่ยังขาดเทคโนโลยีและการเผยแพร่ความรู้.น้ำมันที่ใช้ในการผลิตสบู่ธรรมชาติส่วนใหญ่เป็นไขมันจากสัตว์และน้ำมันจากพืชที่นิยมใช้คือน้ำมันมะกอก.
ในน้ำมันทุกชนิดจะมีส่วนประกอบสำคัญดังต่อไปนี้.
1. Lauric acid
2. Capric acid.
3. Linoleic acid
4. Myristic acid
5. Oleic acid
6. Plamitic acid
7. Ricinolric acid
8. Stearic acid
9. Iodine number.
 จาก1-9 ข้อข้างต้นมีผลต่อคุณภาพของสบู่ธรรมชาติที่ผลิตตามตารางดังนี้
แหล่งข้อมูล: http://millersoap.com




Surfactant หรือเราจะเรียกว่า Detergent เป็นสารประกอบทางเคมีบางที่เราอาจจะเรียกว่า surface-active-agent หรือ detergent.เมื่อเรานำ Surfactant มาใส่ในสารละลายที่มีสภาวะเป็นของเหลว,surfactant จะลดแรงตึงผืวบนผิวหน้าของสารละลายนั้นๆ,ผลที่ได้จากนั้นคือทำให้ลดการกระจายและการเปียกน้ำของสารละลายที่เป็นของเหลวนั้นๆลง.ในอุตสาหกรรมการย้อมผ้าจะต้องนำ Surfactant เข้ามาช่วยในการย้อมผ้าและยังมีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำหอมได้อีกด้วย.






Schematic diagram of the emulsion-polymerization method. Monomer molecules and free-radical …
Encyclopædia Britannica, Inc





จากรูปเราจะเห็นว่าในสารละลายมีทั้งส่วนที่ละลายในน้ำและละลายในน้ำมัน.ส่วนที่ละลายในน้ำจะถูกเรียกว่า hydrophilic และส่วนที่ละลายในน้ำมันจะถูกเรียกว่า lipophilic.ถ้าทั้งสองส่วนมีความเข้มข้นสูงก็จะถูกนำมาใช้เป็น emulsifying agent, or foaming agent.ส่วน Surfactants ที่มีส่วนที่ละลายในน้ำมันมากกว่าส่วนที่ละลายในน้ำมักถูกนำมาใช้กับยาฆ่าเชื้อโรค,เชื้อราและยาฆ่าแมลง.นอกจากนั้นแล้วsurfactants ยังถูกนำมาใช้เพื่อลดการกัดกร่อน,แยกน้ำมันออกจากน้ำและช่วยให้น้ำมันสามารถไหลไปรูพรุนในหินเพื่อให้น้ำมันสามารถพ่นออกมาเป็นละอองได้.
#https://www.britannica.com/science/surfactant

จากตอนที่แล้วเราพูดถึงข้อควรระวังในการทำสบู่ธรรมชาติ.ข้อควรระวังดังกล่าวใช้ได้ทั้งในสบู่เหลวและสบู่ก้อน.
ในบทความตอนนี้ต้องขออนุญาติข้ามตัดตอนมาที่Surfactants หรือในภาษาไทยที่เรียกว่าสารลดแรงตึงผิวกันก่อน.
สารลดแรงตึงผิว (Surfactant) เปนสารที่เมื่อละลายน้ำแลวจะชวยลดแรงตึงผิวของน้ํา คําว่าSurfactant มาจากคำว่าSurface active agent มีคุณลักษณะที่สาคัญ 2 สวน ไดแก สวนหัวที่เป็นHydrophitic (ชอบน้ํา) และ สวนหางที่เป็น Hydrophobic (ไมชอบน้ำแตชอบน้ำมัน) Hydrophobic (water - hating) Hydrophilic(water – loving)
หลักการทำงานของสารลดแรงตึงผิวคือ สjวนที่ชอบน้ำจะทําการจับน้ําและสวนที่ชอบน้ำมันจะจับสิ่งสกปรกพวกไขมันที่ไม่สามารถละลายในน้ำไดทําให้สิ่งสกปรกหลุดออกไปแลวแขวนลอยอยูในน้ำ. ในปจจุบันผลิตภัณฑทําความสะอาด กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจําวันของทุกครอบครัว ไมวาจะเปนของใชสวนตัว เชน สบูยาสระผม ฯลฯ หรือจะเปนของใชในครัวเรือน เช่น ผงซักฟอก ,น้ำยาทำความสะอาดพื้น, น้ำยาล้างจาน ฯลฯ. ซึ่งผลิตภัณฑที่กล่าวถึงเหลานี้ล้วนมีสารลดแรงตงผิวเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น.
สารลดแรงตึงผิวแบงออกเป็น4กลุ่ม ขึ้นอยูกับประจุไฟฟาบนสวนประกอบที่ ละลายน้ํา( Hydrophilic) ไดแก
1. Anionic surfactant
3. Cationic surfactant
2. Nonionic surfactant
4. Amphoteric surfactant (Zwitterionics)
  Anionic surfactant เปนสารลดแรงตึงผิวที่ประจุไฟฟาบน hydrophilic เป็นประจุลบ สวนมากแสดง อยูในรูป carboxylate, sulfate, sulfonate หรือ phosphate สารลดแรงตึงผิวประเภทนี้ใชมากในอตสาหกรรม ุ ประเภท ผงซักฟอก  , ผลิตภัณฑทำความสะอาด, น้ำยาลางจาน.ฯลฯ.โดยใช้มากถึง 49% ของสารลดแรงตึงผิวทั้งหมด.เนื่องจากสามารถใชขจัดคราบสกปรกไดดีตัวอยางเช่นSodium linear alkylbenzenesulfonate (LAS) ,Sodium alkyl sulfate (AS) ,Soium sulfosuccinates ,Sodium alkyl phosphate
  Cationic surfactant เปนสารลดแรงตึงผิวที่ประจุไฟฟาบน hydrophilic ใหประจุบวก ส่วนมากมักจะ
เป็นพวก quaternary ammonium สารลดแรงตึงผิวประเภทนี้จะไมสามารถทำงานได้ในสภาวะแวดลอม ที่ เปนด่างสงู ( pH10 -11) เนี่องจากammonium salt จะมีการสูญเสียประจุบวก ทําใหเกิดการตกตะกอนได สารลดแรงตึงผิวประเภท cationicจะทําใหเกิดการระคายเคืองมากกวาสารลดแรงตึงผิวประเภท anionic นิยม ใชในพวกน้ำยาปรบผานุ่ม,ครีมนวดผม และผลิตภัณฑเกี่ยวกับการจัดแตงทรงผม ฯลฯ. เช่น
Alkyl ester ammonium salts,   Alkyltrimethylammonium salts.
 Nonionic surfactant สารลดแรงตึงผิวประเภทนี้จะมีความแตกตางจากสารลดแรงตึงผิวประเภท anionic และ cationic ตรงที่เปนโมเลกุลที่ไมมีประจุโดยมีพวก polyether หรือpolyhydroxyl เปนกลุมที่แสดงคุณสมบัติ คลายพวกที่มีประจุใชมากในผงซักฟอก ,น้ำยาล้างจาน, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นผิว เช่น. Alcohol ethoxylates ,Alcohol alkoxylates (AA).
 Amphoteric surfactant หรือZwitterions เปนสารลดแรงตึงผิวที่ประจุไฟฟ้าที่hydrophilic
สามารถใหไดทั้งประจุบวกและลบ โดยจะแสดงคุณสมบัติประเภทใดขึ้นอยูกับสภาพความเป็นกรด -ดางของ สภาวะแวดลอม ถ้าสภาวะแวดล้อมเปนดาง (pH>7) ประจุไฟฟ้าบน hydrophilicจะใหประจุลบ ถ้าสภาวะ แวดลอม เปนกรด (pH<7) ประจุไฟฟาบน hydrophilicจะใหประจบวก ุ และในสภาวะที่เปนกลางจะไม่เกิดการ ใหประจุไฟฟ้าบน  hydrophilic สารลดแรงตึงผิวประเภทนี้นิยมใชในผลิตภัณฑเกี่ยวกับผิว หรือ ผม ในปจจุบันยังใชนอยกวาสารลดแรงตึงผิวประเภทอื่นๆ.
จากผลของการใชสารลดแรงตึงผิวที่เพิ่มในทุกๆป( ป 1993 เฉพาะในอเมริกาใชถึง 5×109 kg) พบผลกระทบตอสิ่งแวดลอมเพิ่มมากขึ้นเชน LASจะไปลอมจับพื้นผิวสารอินทรียตางๆที่มีในแหลงน้ำตามธรรมชาติทาให้ขบวนการยอยสลายตามธรรมชาติเกิดการชะงักงัน นอกจากน ี้LAS ยังมีอันตรายตอสัตวน ้ํา โดย LAS ทำให้มีจานวนคาร์บอนมากขึ้น,ความเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมก็เพิ่มขึ้นตามมา.

อ้างอิงจาก
1. Environmental and Health Assessment of Substance in Household Detergents and Cosmetic Detergent Products (online) เขาถึงไดจาก: file://G:\Detergent\1_%20Introduction,%20Danish%20 Environmental20P.
2. SDA-The Soap and Detergent Association,Chemistry (online) เขาถึงไดจาก: http//www.kcpc.usyd.edu.au/discovery/9.5.5-short/9.5.5_soapdetergent.html
3. Krister Holmberg. Surfactants and Polymers in Aqueous Solution, England,2001. ที่มา: http://www.pharm.su.ac.th/cheminlife/cms/index.php/product-name/product-name-english/482- hydrophilic.html)
4.จิรสา กรงกรด..ว่าด้วยสารลดแรงตึงผิว
Liquid Soap.
        อย่างที่เคยบอกสบู่เป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกของTAYAWON. และสบู่ TAYAWON มีทั้งแบบสบู่ก้อนและสบู่น้ำ.ในเบื้องต้นTAYAWON เลือกที่จะเขียนเรื่องการทำสบู่เหลวก่อนสบู่ก้อน.
      ขั้นตอนการทำสบู่เหลวต้องอาศัยความอดทนมากกว่าการทำสบู่ก้อน.นอกจากความอดทนแล้ว
 ด่างที่นำมาก็แตกต่างกัน.ในสบู่เหลวด่างที่ใช้คือKOH (โปตัสเซียม ไฮดรอกไซต์).. การทำสบู่ธรรมชาตินั้นมีสิ่งหนึ่งที่คุณต้องระมัดระวังในการใช้นั่นคือด่าง.มีคำพูดอยู่วลีหนึ่ง "ถ้าไม่มีด่างก็ไม่มีสบู่". KOH เมื่อนำมาละลายในตัวทำละลายเช่นน้ำค่า pH ของสารละลาย KOHจะสูงกว่า 7.การนำมาใช้จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ.KOH ที่นำมาใช้อาจเป็นเกร็ดของแข็ง,เป็นก้อน,หรือผงหยาบๆ.
                    การเก็บต้องเก็บในที่แห้งและปิดฝาให้สนิท.KOH ไวต่อความชื้นดังนั้นถ้าปิดฝาไม่สนิทโอกาสที่KOH จะละลายกลายเป็นน้ำมีสูงจึงต้องเก็บด้วยความระมัดระวัง.ให้จำไว้ว่าเมื่อนำKOH มาละลายน้ำ. KOHกับน้ำจะทำปฏิกิริยากันทำให้เกิดความร้อน.ดังนั้นการละลายKOH จึงควรทำในที่อากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวกและไม่ควรทำการละลาย KOH บนโต๊ะที่ทำมาจากไม้ไม่อย่างนั้นคุณจะประสพกับโต๊ะที่มีสภาพแบบดังภาพข้างล่างนี้.
 และที่ต้องระวังอีกอย่างคือต้องเทด่างลงในน้ำอย่าเทน้ำลงในด่างเพราะคุณอาจจะพบฟองฟู่พุ่งขึ้นมาเกินควบคุมได้.
ข้อควรระวัง:
  ควรสวมแว่น,ถุงมือและปิดจมูกเพื่อป้องกันไอระเหยของด่างที่สามารถทำลายอวัยวะภายในและทำลายดวงตาอันบอบบางของคุณได้.
ถ้าด่างกระทบกับดวงตาให้รีบล้างด้วยน้ำ,ถ้าใส่ contact lenses ให้รีบถอด contact lenses ออกแล้วล้างด้วยน้ำที่ไหลต่อเนื่องอย่าง 20 นาทีแล้วรีบไปพบแพทย์ในทันที.ถ้ากลืนลงไปให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วรีบดื่มน้ำตามลงไปอย่างน้อย 2 แก้วเต็มๆก่อนไปพบแพทย์. ถ้ามาสัมผัสกับผิวก็รีบล้างออกด้วยน้ำอย่างน้อย 15 นาทีแล้วจึงล้างอีกครั้งด้วยสบู่และน้ำก่อนไปพบแพทย์. แม้กระทั่งในระหว่างการทำปฏิกิริยาของน้ำด่างกับน้ำมันหรือไขมันก็ยังต้องระมัดระวัง.ในระหว่างการทำสบู่ควรให้อยู่ห่างจากเด็กๆและสัตว์เลี้ยง.เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุที่คุณคาดไม่ถึง.



                                        ยากที่สุดไม่ใช่การเขียนบทความในส่วนที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของ TAYAWON แต่ที่ยากที่สุดคือการทำ BLOG อย่างไรให้สวยน่าเข้าชมต่างหาก.หลายวันมานี้ผู้เขียนพยายามค้นหาเนื้อหาที่เกี่ยวกับการทำBLOG .ต่างๆนานา.มากมาย.แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้มาก.แต่ถ้ายังพยายามอยู่ไม่สิ้นสุดวันหนึ่งก็ต้องถึงปลายทางแห่งจุดหมาย.ต่อให้ยากสักเพียงไหนถ้าพยายาม.องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองกว่าจะตรัสรู้ก็ใช้เวลาเนิ่นนานไม่ใช่น้อยเลย.

                                              วันนี้พาออกนอกเรื่องที่อยู่ในเรื่องเพื่อความสบายใจของผู้เขียนเอง .ต้นกำเนิดของTAYAWON เป็นจังหวัดสงขลา.คนไทยน้อยคนที่จะไม่รู้จักจังหวัดสงขลาแต่น้อยคนที่จะได้ไป.สงขลาเป็นเมืองที่มีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นน้ำตก,ภูเขา,ทะเลและที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยคือหาดทรายสีขาวนวลที่แผ่ทอดยาวเป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล.นี่จึงเป็นที่มาของแหลมสมิหรา.ผู้เขียนไม่ได้เกิดที่นั่นแต่พ่อ,ปู่และย่าของผู้เขียนอาศัยอยู่ที่นี่.สายสกุลของพ่อมาจากเมืองไชยา.เล่ากันว่าคุณทวดของผู้เขียนคือหนึ่งในสายสกุลวิชัยดิษฐ์ที่เป็นผู้ปกครองเมืองไชยาในสมัยก่อน.ก่อนที่คุณทวดจะอพยพนั่งช้างมากับบุตรชายคนเดียวคือคุณปู่ของผู้เขียนมาตั้งรกรากที่สงขลาโดยมีอาชีพเป็นทนายความ.ถ้าเอ่ยถึงแหลมสมิหราก็ต้องมีนางเงือก.ใครไปที่นั่นแล้วไม่ได้ถ่ายรูปกับนางถือว่ายังไม่ได้ไป.สงขลาเป็นเมืองที่มีความงดงามตราตรึงในความรู้สึกของใครหลายๆคน.จนกระทั่งมีการนำบรรยากาศของเมืองสงขลาไปใช้ในนวนิยายดังเรื่องดรรชนีนาง.นอกจากความงดงามแล้วสงขลายังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ.ในปัจจุบันมีฐานที่ตั้งของกองทัพเรือตั้งอยู่ ณ ริมหาดนี่เอง.ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2. ญี่ปุ่นยาตราทัพเข้ามาโดยยกพลขึ้นบกที่บริเวณชายหาดแหลมสมิหรา.ปู่,พ่อและเพื่อนๆของพ่อเล่าให้ฟังว่า.ก่อนญี่ปุ่นจะยกพลขึ้นบก.มีชาวญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาปักหลักอยู่ที่สงขลาและได้เช่าตึกที่อยู่ไม่ห่างจากบ้านคุณปู่.มีอาชีพเป็นหมอรักษาทุกโรคแม้กระทั่งฟันผุ.โดยมีปู่ของผู้เขียนเป็นเพื่อนสนิท.สมัยนั้นเรียกได้ว่าปู่ของผู้เขียนเป็นคนมีฐานะทีเดียวเพราะคุณทวดมีรถบรรทุกสินค้าเดินทางไปรับสินค้าจากสิงค์โปร์และมาเลเซียมาขายและนำสินค้าจากไทยส่งไปที่นั่น.ในตอนเย็นของทุกวันเพื่อนชาวญี่ปุ่นของปู่จะชักชวนคุณปู่ไปที่แหลมสมิหรา.เมื่อไปถึงหลังวางสัมภาระที่นำมาวางบนชายหาดแล้วสิ่งแรกที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นทำคือเดินลงทะเลพร้อมกับไม่ท่อนเล็กๆไปวัดระดับน้ำทะเลในแต่ละช่วงของทะเลแล้วกลับมาบันทึกระดับน้ำพร้อมกับตารางเวลา.ปู่ได้แต่นึกฉงน.ในตอนนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้วแต่ยังมาไม่ถึงประเทศไทย.คืนหนึ่งในวันศุกร์.ขณะที่ฝนกระหน่ำตกลงมาไม่ขาดสาย. ณ สถานกงสุลญี่ปุ่น.ข้าราชการผู้ใหญ่ของไทยทุกคนถูกเชื้อเชิญให้ไปรวมตัวที่นั่นเพื่อดูภาพยนตร์.จบลงสายฝนก็ยังกระหน่ำตกทุกคนพร้อมใจกันกลับบ้านในนั้นรวมทั้งคุณปู่ของผู้เขียนด้วย..เวลาผ่านไปเกือบเที่ยงคืน.ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกและเกิดการปะทะกัน.เลือดนองดั่งสายธารมีการบาดเจ็บล้มตายของทหารทั้ง 2 ฝ่าย . ศพผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บถูกลำเลียงไปที่อาคารเรียนในโรงเรียนมหาวชิราวุธ. ผู้ที่บาดเจ็บก็ได้รับการรักษา,ผู้เสียชีวิตก็ถูกนำร่างมาเก็บไว้ที่นั่นเป็นที่มาในเวลาต่อมาว่าทำไมอาคารเรียนหลังนั้นจึงถูกใช้เป็นห้องเรียนวิชาศีลธรรม. หลังจากรัฐบาลไทยประกาศยอมให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่น.และวันนั้นเองที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นของคุณปู่ก็มาหาคุณปู่ในเครื่องแบบทหารเต็มยศพร้อมกับทหารญี่ปุ่นเดินเต็มเมือง.บ้านทุกหลังถูกบุกเข้าไปตรวจค้นยกเว้นบ้านของคุณปู่.เพื่อนทหารญี่ปุ่นชักชวนปู่ให้ไปสิงคโปร์กับเขา.ปู่รับปากแต่เมื่อถึงเวลาคุณปู่ของผู้เขียนกระโดดหนีออกทางหลังบ้าน.หลังจากนั้นปู่เล่าให้ฟังว่าก็ไม่ทราบข่าวคราวของเขาอีกเลย..ในภายหลังคุณปู่เล่าให้ฟังว่าสิ่งที่คุณปู่สงสัยว่าทำไมทำไม..เฉลยออกมา.เช่นการวัดระดับน้ำทะเลในแต่ละช่วงของทะเลและแต่ละช่วงของเวลาก็เพื่อการยกพลขึ้นบก.การเชื้อเชิญข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปรวมตัวกันที่สถานกงสุลก็เพื่อให้เวลาประจวบเหมาะและล้อมจับพร้อมๆกันเพื่อลดการต่อสู้และเสียเลือดเนื้อกำลังพล.แต่ปัจจัยธรรมชาติที่นึกไม่ถึงคือฝนที่กระหน่ำตกทำให้การยกพลขึ้นบกล่าช้าไปกว่าที่กำหนด.ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว.จึงเกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยและญี่ปุ่น.จนรัฐบาลไทยสมัยจอมพล ป.ยอมให้ญี่ปุ่นใช้ไทยเป็นทางผ่าน.สมัยสงคราม
ทุกอย่างยากไปหมดกางเกงนักเรียนของพ่อยังต้องใช้ผ้าใบมาตัดเป็นกางเกง.กระดาษก็เก็บเอาจากที่ต่างๆมาใช้.ปู่ใช่นำมันมะพร้าวเติมแทนน้ำมันเบนซิน.คนไทยบ้านอื่นๆอาหารการกินขาดแคลนยกเว้นที่บ้าน.ปู้่ได้รับของฝากเสมอๆ.ปู่บอกว่าคนไทยชอบแอบเข้าไปขโมยน้ำมันเมื่อถูกจับได้ก็ถูกจับกรอกด้วยน้ำมันแต่คนไทยก็ไม่เคยเข็ดหลาบแต่เห็นเป็นเรื่องสนุก. ทหารญี่ปุ่นคงคิดถึงบ้านจึงสอนคนไทยให้ทำขนมมีหน้าตาคล้ายขนมโมจิของญี่ปุ่นแต่คนสงขลาจะเรียกว่าขนมม่อฉี่.เมื่ออเมริกากระโดดร่วมสงครามหลังญี่ปุ่นโจมตีเพริล์ฮาร์เบอร์.สงขลากลายเป็นเป้าโจมตีของกองทัพสัมพันธมิตร.มีเครื่องบินบินเข้ามาวางระเบิดฐานที่ตั้งทัพของญี่ปุ่นที่สงขลา.สงครามไม่เคยให้คุณกับใคร.ในเรื่องราวมีแต่ความโศกสลดและความพลัดพราก.
นอกจากแหลมสมิหราแล้วสงขลายังมีทะเลน้อย.หรือก็คือทะเลสาปสงขลานั่นเองพื้นที่ทะเลสาปสงขลากินพื้นที่ไปถึงจังหวัดพัทลุง.และที่นี่นี่เองเป็นที่มาของควายน้ำ.

คนทำสบู่


                                       มนุษย์เราต่อให้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งขนาดไหนแต่ถ้าไม่รู้จักนอบน้อมถ่อมตนก็ยากจะได้รับความรู้ใหม่ๆ.เพราะคิดว่าตัวเองเก่งกาจหาคนเทียมทานไม่มีแล้ว.แต่ถ้านึกได้ว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและนวัตกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน.คนที่คิดได้แบบนั้นหากพลาดพลั้งไปก็อาจพบหนทางแก้ไขได้โดยไม่รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องน่าอับอาย.แต่ก็ไม่แน่เสมอไป.คนทำสบู่Handmade ก็เช่นกันต้องหมั่นศึกษาคอยเติมความรู้และค้นคว้าสาร Additive ใหม่ๆที่มีประโยชน์กับผิวพรรณมาเติมในผลิตภัณฑ์ของเรา.ตั้งแต่ปี พศ.2514 เรื่อยมาจนถึงปีนี้คือปี พ.ศ.2516 .เรียกได้ว่าเราเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพงก็คงไม่ผิดนัก.ทุกอย่างยากไปหมด.คนตกงาน.เด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเรียนจบทยอยออกมา.ตลาดงานว่างเปล่าไม่มีพื้นที่ให้ลง.ทุกวันนี้ยอมรับว่าการเมืองส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแน่นอน..เพราะประเทศไทยไม่สามารถอยู่ได้เพียงลำพัง.เราปลูกข้าว,ปลูกยางพารา,ปลูกปาล์ม,และอีกมากมาย.การบริโภคในประเทศไม่สามารถรองรับปริมาณที่เราผลิตได้เราจำเป็นต้องหาตลาดภายนอกเพื่อรองรับสินค้าของเรา. TAYAWON ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน. ประเทศไทยมีพืชสมุนไพรจำนวนมากที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณ.แต่เราจะทำอย่างไรเพื่อเดินไปให้ถึงที่นั้น. เป็นเครื่องหมายคำถามที่ต้องการคำตอบ.ภาพที่นำมาขึ้นหน้าโพสต์วันนี้เป็นสบู่เหลวและสบู่รังไหม.อย่างที่เคยเล่าให้ฟังมาข้างต้นว่ารังไหมมีคุณสมบัติอย่างไร TAYAWON จึงลองทำสบู่Handmade รังไหมขึ้นมา.เริ่มต้นด้วยการใช้เอง. บอกกับตัวเองนับแต่สัมผัสแรกว่าชอบมากและมาก.นักวิชาการส่วนใหญ่มักตกม้าตายที่การตลาด..ประโยคนี้เราพูดเอง.
                        ก่อนจะมาเป็น TAYAWON ในวันนี้ใช้เวลาหลายปีทั้งฐานความรู้เดิม,อ่านและทำและใช้เอง  What ,Why,When,How ค้นคว้า,ถามและหาคำตอบ.ทดลองทำซ้ำแล้วซ้ำอีก. Blog นี้เราทำเพื่ออยากให้ใครก็ตามที่เข้ามาได้เห็นได้พบว่า.คนไทยก็มีความสามารถมิใช่ว่าจะต้องเป็นสินค้าโรงงานเท่านั้นที่ขายได้และเราจะก้าวต่อไปเพื่อเป็น Fresh Handmade Cosmetics สัญชาติไทยที่เน้นคุณภาพ.และสินค้าของเราไม่มีวัตถุดิบที่ได้จากการพรากชีวิตสัตว์แม้เราจะเป็นโยเกิร์ตนมแพะ.เราใช้น้ำนมจากแพะมาทำโยเกิร์ต


สบู่ใส (Transparent Soap)


                                                สบู่ใสแบบมองด้านหนึ่งทะลุไปเห็นอีกด้านหนึ่งจากhttp://curious-soapmaker.com/how-to-make-transparent-soap.html.นี่เป็น URL ของwebsite ชื่อ curious soapmaker ในความคิดของเราเรียกแกว่าผู้เชี่ยวชาญในด้านการทำสบู่ใส.ใครสนใจทำสบู่ใสก็ไปหาอ่านกันได้แถมเจ้าของ website ยังทำเป็นหนังสือ.ใครสนใจก็หาซื้อมาอ่านได้เลย.ผู้เขียนเองชอบสบู่ใส.เพราะเวลานึกถึงสบู่ใสจะนึกถึงสบู่สัญชาติผู้ดีอังกฤษยี่ห้อ"Pear"
เวลาเห็นสบู่ "Pear". ความหลังมันลอยอ้อยอิ้งมาให้เห็นเลยละ..เราจะนึกถึงสายฝนที่กำลังตกพร่ำลงมาพร้อมกับใบหน้าของพ่อ. พ่อเราชอบใช้สบู่ " Pear" ถึงเราไม่ใช่ผู้ดีอังกฤษเราก็เป็นผู้ดีไทยเนอะ. เราเกิดที่ภาคใต้ใช้ชีวิตที่กำลังเติบโตที่ภาคใต้.ริมแม่น้ำปัตตานี.ฝนตกเป็นเรื่องปกติถ้าฝนไม่ตกซิจึงจะเรียกว่าผิดปกติ.เวลาอาบน้ำกับสบู่ "Pear"พร้อมกับเสียงฝนตกจั้กๆๆๆ..ฮาฮาฮา...เรากำลังจะบอกว่า "อย่าลืมฉัน" . อายุมากขึ้นก็เกิดความอยากขุดคุ้ย.."อ้าวแย่แล้ว Pear สุดที่รักของเราใช้น้ำมันหมูเป็นวัตถุดิบ.บังเอิญเราเป็นคนจำพวกอ่อนไหวง่าย.เราเดินเมินหนี Pear จนล่าสุดมาทราบว่า Pear ปรับปรุงสูตรและไม่มีการนำไขมันจากสัตว์มาใช้."เออ โล่งใจ" ฉันแอบถอนหายใจแล้วก็หยิบสบู่ Pear ใส่ตะกร้าพลางก็คิดถึงพ่อ. น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งมีต้นเดียว  ..คงมีคนแอบค่อนแคะเรา.กลับเข้าเรื่องต่อของ curious soap เจ้าของ website เธอชื่อ Evik 
เธอกินมังสวิรัติและเริ่มโดยการทำสบู่ใช้องที่บ้านเมื่อ 7 ปีก่อน..แต่ถ้าถึงปีนี้ก็ไม่ทราบว่ากี่ปีแล้วนะเราบอกก่อน.ความเป็นมาของเธอก่อนจะมาเป็น SOAPMAKER มันเหมือนกับฉันเดะๆเลย..เราเล่าต่อนะ.เธอบอกว่าการทำสบู่ใสไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ง่ายที่สำคัญควรเคยผ่านประสบการณ์การทำสบู่ในแบบ Hot Process Soap. เพราะการทำสบู่ใสควรอย่างยิ่งที่จะต้องมีประสบการณ์Hot Process Soap. หลังสบู่ ผ่าน Saponification reaction เรียบร้อยแล้วสิ่งที่ต้องใช้คือ Ethanol และ Glycerin.ทั้ง 2 อย่างใช้เป็นตัวทำละลายPaste ของสบู่.ขั้นตอนนี่สำคัญเหมือนกันเพราะ ethanol เป็นalcohol ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเพราะอาจลุกไฟติดโชนขึ้นมาได้ง่าย..หลังจากนั้นก็ค่อยเติมน้ำหวานแต่น้ำหวานที่ว่านี้เธอแนะนำว่าควรใช้น้ำกลั่น.เพราะถ้าเป็นน้ำประปาธรรมดาอาจมีแร่ธาตุไม่พึงประสงค์ที่ทำให้สบู่ขุ่นไม่ใสอย่างที่เราอยากให้เป็น.
              เราเองถึงจะไม่ขนาดมังสวิรัติแต่บางครั้งก็มีความสะอิดสะเอียนกับเนื้อสัตว์เหมือนเธอ. เราเคยได้ยินเสียงส่งเสียงกรีดร้องถึงตอนนี้ก็ยังก้องอยู่ในหัวเลย..น้ำตากับแววในดวงตาของวัวอีกละ..พูดถึงเนื้อวัวนี่เราเลิกขาดไปเลยตั้งแต่พ่อป่วย..เนื้อหมูพอมีกระเซนกระสายบ้าง..นานน่านถึงจะกินเลี่ยงได้เลี่ยง. เราคิดว่า " มันไม่แฟร์ที่จะเอาชีวิตคนอื่นมาเลี้ยงชีวิตตัวเอง" ผลิตภัณฑ์ของเราจึงไม่มีวัตถุดิบที่ได้มาจากการฆ่าสัตว์.เราชอบคนแบบเธอ Evik.

สบู่ทยวรรธ์น










ผลิตภัณฑ์ตัวแรกของTAYAWON คือสบู่โยเกิร์ตนมแพะผสมรังไหม. กระบวนการผลิตสบู่เป็นแบบดั้งเดิม "Saponification reaction" และใช้ความร้อนช่วยเร่งปฏิกิริยาอย่างที่เรียกกันว่าhot process soap.ดังนั้นสบู่ของเราจึงไม่ต้องใช้เวลาบ่มนาน.น้ำมันที่เรานำมาใช้เป็นน้ำมันที่ได้มาจากต้นพืช.ไม่มีการใช้สารทำฟองเพราะเราให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม. แม้จะมีการบอกว่าสารทำฟองไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม.แต่หากมีปริมาณสารทำฟองสะสมตกค้างอยู่ในธรรมชาติมากสิ่งแวดล้อมก็อาจถูกทำลาย.
เบื้องต้นเรามีสบู่อยู่ 5 ชนิด
1. โคลนจากทะเลสาปเดดซี (Dead sea mud )
2. ผสมเนื้อ อโวคาโด ( Avocado)
3. ผสมเนื้อมะม่วง 
4. ผสมเนื้อว่านหางจระเข้
5. ผสมสารสกัดจากขิง
ความต่างของเราอยู่ที่เราทำโยเกิร์ตจากนมแพะมาใช้เองและในการผสมในเนื้อสบู่เรายังเพิ่มWhey protein ที่มีอยู่แล้วในการผลิตโยเกิร์ตลงไปด้วย. 
 Whey protein ในแง่ของเครื่องสำอาง
30 ปีก่อนคริสต์กาล. มีการบันทึกว่าพระนางคลีโอพัตรามักจะนอนแช่อยู่ในอ่างน้ำนมทำให้ผิวพรรณของพระนางผ่องใสเป็นที่หมายปองของทั้งจูเลียต ซีซาร์ และมาร์ค แอนโทนี ขุนศึกแห่งอาณาจักรโรมัน.;วิตามินต่างๆ,กรดอมิโนและแร่ธาตุที่พบใน Whey protein ทำให้ Whey protein เปรียบเสมือนอาหารสำหรับผิวทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น,ลดอาการแสบแดงของผิวหลังจากโดนแดดเผา.นอกจากนั้น Whey protein ยังช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ " ไทโรซิเนส " เอนไซม์ที่ทำให้ผิวผลิตเม็ดสีทำให้ผิวคล้ำเสีย.




                  TAYAWON SOAP เป็นสบู่ที่มีปริมาณ ของกรดน้ำนมอย่างน้อย 12 % เพื่อเพิ่มความสามารถในการบำรุงผิวลงถึงชั้นในของผิว. กระตุ้นให้ร่างกายสร้างผิวชั้น collagen และ elastin  ซึ่งเป็นชั้นของผิวหนังที่เกี่ยวข้องกับริ้วรอยโดยตรง.ค่าสมดุลความเป็นกรด-ด่างของผิว หรือค่า pH เป็นกลไกหลัก
ค่าสมดุลความเป็นกรด-ด่างของผิวเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมภายนอกเช่น มลภาวะ อุณหภูมิ และสารเคมี เพราะฉนั้นผลิตภัณฑ์สำหรับผิวจึงจำเป็นที่จะรักษาสมดุลความเป็นกรด-ด่างของผิว เพื่อเป็นเกราะปกป้องผิวจากปัจจัยทำร้ายผิวภายนอก.
 * ค่า pH  ( Potential of Hydrogen ion)บนผิว? เป็นค่าที่แสดงความเป็นกรดเป็นเบสของสารเคมีจากปฏิกิริยาของไฮโดรเจนไอออน (H+แนวคิดของพีเอชถูกนำเสนอโดย นักเคมีชาวเดนมาร์ก ชื่อ โซเรนเซ็น ที่คาลเบิรก์แลบอริทอรี่ ในปี ค.ศ. 1909 และถูกปรับปรุงเป็นการวัดค่าพีเอชแบบสมัยใหม่ในปี ค.ศ. 1924.
ผิวหนังที่ติดเชื้อ

                                                
               โดยธรรมชาติผิวหนังของมนุษย์จะมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆโดยค่าความเป็นกรดและด่างจะอยู่ที่ประมาณ 4.7 และ 5.75 และยังมีความแตกต่างกันตามเพศ อายุ และส่วนต่างๆของร่างกาย.สิ่งที่มีผลกระทบต่อค่าความเป็นกรดด่างของผิว เช่น การเปลี่ยนแปลงของอากาศ,ทำความสะอาดผิวบ่อยเกินไปและเครื่องสำอาง ฯลฯ.
              ผิวหนังของผู้ชายจะมีค่าเป็นกรดมากว่าผู้หญิงเพราะปริมาณไขมันของผู้ชายจะมีมากกว่าผู้หญิง.ส่วนในเด็กทารกค่าความเป็นกรดด่างของผิวจะอยู่ที่ 5.5-6.5.

สารพีเอช
กรดสารพิษจากเหมืองร้าง
-3.6 - 1.0
กรดจากแบตเตอรี
-0.5
กรดในกระเพาะอาหาร
1.5 - 2.0
เลมอน
2.4
โค้ก
2.5
น้ำส้มสายชู
2.9
ส้ม หรือ แอปเปิล
3.5
เบียร์
4.5
ฝนกรด
< 5.0
กาแฟ
5.0
ชา
5.5
นม
6.5
น้ำบริสุทธิ์
7.0
น้ำลายมนุษย์
6.5 - 7.4
เลือด
7.34 - 7.45
น้ำทะเล
8.0
สบู่ล้างมือ
9.0 - 10.0
แอมโมเนีย (ยาสามัญประจำบ้าน)
11.5
น้ำยาปรับผ้านุ่ม
12.5
 โซดาไฟ
13.5

แหล่งข้อมูล: https://th.wikipedia.org/wiki/พีเอช_(เคมี)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ระบบผิวหนังของมนุษย์

sk_anat.gifมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ชั้นนอกสุดของร่างกายปกคลุมห่อหุ้มร่างกายทั้งหมดของเราไว้ผิวหนังของผู้ใหญ่คน หนึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 3,000 ตารางนิ้ว มีความหนาประมาณ 1 – 4 มิลลิเมตรโดยความหนาของผิวหนังจะแตกต่างกันไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และบริเวณที่ถูกเสียดสีโดยผิวหนังส่วนที่หนาที่สุด ของร่างกายคือ บริเวณฝ่ามือ และฝ่าเท้าส่วนผิวหนังส่วนที่บางที่สุดของร่างกาย คือบริเวณหนังตา และหนังหู ภายในผิวหนังนั้นมีปลายประสาทรับรู้ความรู้สึกอยู่มากมายเพื่อรับรู้การสัมผัสความเจ็บปวด และอุณหภูมิร้อนเย็นต่าง ๆ นอกจากนี้บนผิวหนังยังมีรูเล็ก ๆ ซึ่งเรียกว่า รูขุมขน ซึ่งเป็นรูเปิดของขุมขน ท่อต่อมไขมันและต่อมเหงื่อผิวหนัง สามารถยืดหยุ่นได้มาก และผิวหนังบนร่างกาย
ส่วนใหญ่สามารถเลื่อนไปเลื่อนมาได้แต่ก็มีบางส่วนที่ติดแน่นกับอวัยวะ เช่น หนังศีรษะด้านนอกของใบหูฝ่ามือ และฝ่าเท้าและตามรอยพับของข้อต่อต่าง ๆนอกจากนี้ผิวหนังบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้าจะมีรอยนูนอยู่เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะปลายนิ้วมือจะมีสันนูนเรียงกันเป็น ร้อยหวาย หรือรอยก้นหอย ซึ่งรอยนี้จะต่างแตกกันออกไปในแต่ละบุคคล และบริเวณผิวหนังทีกล้ามเนื้อเกาะอยู่ จะเกิดเป็นรอยย่นได้เมื่อกล้ามเนื้อเกิดการหดตัว เช่นบริเวณใบหน้ามีกล้ามเนื้อยึดติดที่ผิวหนังมากเมื่อแสดอารมณ์โกรธ กลัว ยิ้มแย้มแจ่มใส หรือเศร้าหมองจะทำให้เกิดร่องรอยบนผิวหนังอย่างเห็นได้ชัด
ผิวหนังของคนเราแบ่งออกได้เป็น 2 ชั้น คือ หนังกำพร้าและหนังแท้

1. หนังกำพร้า (Epidermis)
เป็นผิวหนังที่อยู่ ชั้นบนสุด มีลักษณะบางมาก ประกอบไปด้วยเชลล์ เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆโดยเริ่มต้นจากเซลล์ชั้นในสุด ติดกับหนังแท้ ขึ่งจะแบ่งตัวเติบโตขึ้นแล้วค่อยๆ เลื่อu มาทดแทนเขลล์ที่อยู่ชั้นบนจนถึงชั้นบนสุด แล้วก็ กลายเป็นขี้ไคลหลุดออกไปนอกจากนี้ในชั้นหนังกำพร้ายังมีเซลล์ เรียกว่า เมลานิน ปะปนอยู่ด้วย เมลานินมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับบุคคลและเชื้อชาติ จึงทำให้สีผิวของคนแตกต่าง กันไป ในชั้นของหนังกำพร้าไม่มีหลอดเลือดเส้นประสาท และต่อมต่างๆ นอกจากเป็นทางผ่านของรูเหงื่อ เส้นขน และไขมันเท่านั้น

2.หนังแท้ (Dermis)
เป็นผิวหนังที่อยู่ชั้นล่าง ถัดจากหนังกำพร้า และหนากว่าหนังกำพร้ามาก ผิว หนังชั้นนี้ประกอบไปด้วยเนี้อเยื่อคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) หลอดเลือดฝอย เส้นประสาทกล้ามเนื้อเกาะเส้นขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ และขุม ขนกระจายอยู่ทั่วไป..jpg

แหล่งข้อมูล:https://bodysystemm.wikispaces.com/ระบบผิวหนังหรือระบบห่อหุ้มร่างกาย#xโครงสร้างของผิวหนัง
รังไหม(Silk Cocoon)

 เมื่อ 5,000 ปีก่อน มนุษย์ยังไม่รู้จักประโยชน์ของตัวไหม ตราบจนกระทั่งมีตำนานกล่าวขานถึงที่มาของไหมว่าในแผ่นดินจีนเมื่อเกือบ 5,000 ปี ตรงกับสมัยพระจักรพรรดิหวงตี้ วันหนึ่งพระองค์เสด็จไปล่าสัตว์ถึงเขาซีซัน ทรงพบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเลี้ยงตัวไหมและเก็บรวบรวมรังไหมจำนวนมากจากต้นหม่อนใหญ่ที่เชิงเขา พระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงเสด็จไปหาหญิงสาวผู้นั้น พร้อมตรัสถามว่า “ ข้าพเจ้าอยากจะเรียนวิธีการเลี้ยงและสาวเส้นไหม ท่านจะสอนให้ข้าพเจ้าได้หรือไม่?” ฝ่ายหญิงสาวตอบว่า “ คุณพ่อคุณแม่ได้สั่งไว้ว่าห้ามสอนผู้ชายที่ไม่ใช่สามีของตน” เมื่อพระองค์ทรงทราบเช่นนั้น จึงทรงรวบรวมความกล้าขออภิเษกสมรสกับหญิงสาวคนนั้น เธอก็คือเหลยจู่ ที่ตำนานจีนกล่าวว่าเป็นผู้ค้นพบวิธีปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และสาวไหมนั่นเอง

          อีกตำนานในหนังสือจีนโบราณฉบับหนึ่งชื่อไคเภ็ก กล่าวว่า เมื่อ 4,500 ปี พระนางง่วนฮุย พระมเหสีของพระเจ้าอึ้งตี่ ได้เสด็จสวนหลวงทอดพระเนตรเห็นตัวหนอนหลายตัวเกาะอยู่บนต้นหม่อน ต่อมาทรงเห็นตัวหนอนชักใยพันรอบตัวจึงหยิบมาพิจารณา เมื่อดึงออกมาจะเป็นเส้นๆ มีความเหนียวดี พระนางทรงดำริว่า ถ้านำมาทำเป็นผ้าแพรเนื้อคงดีกว่าปอป่านที่ใช้ทำเครื่องนุ่งห่มมาแต่ก่อน เมื่อพระนางสามารถเลี้ยงไหม ควบเส้นไหม ทอเป็นผืนผ้าสำเร็จตั้งแต่กาลครั้งนั้น และได้รับการถวายพระฉายาว่า “ นางพญาแห่งการหัตถกรรมไหม”
          การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอเป็นผืนผ้าไหมของจีน ถือเป็นความลับที่หวงแหนยิ่ง ตราบจนกระทั่งมีการนำผ้าไหมไปขายตามเส้นทางสายไหม ( silk road) อันเลื่องชื่อ ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียพยายามจะเรียนรู้การทำไหม หลังจากนั้นราว 1,000 ปี การทำไหมจึงแพร่ขยายไปยังประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ประเทศในคาบสมุทรอินโดจีนและอินเดีย
          สำหรับเมืองไทย แม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ใน พ.ศ. 2515 ระหว่างการขุดค้นหาหลักฐานทางโบราณคดีครั้งใหญ่ของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ได้พบหลักฐานที่เป็นผ้าของสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย คือเศษผ้าติดอยู่กับกำไลสำริด ผ้าที่พบนั้นคงมีอายุเท่ากับอายุของกำไล คือ ประมาณ 2,400-2,800 ปี ซึ่งอายุจริงของวิธีทำผ้าอาจมีมาก่อน แต่ไม่มีหลักฐานหลงเหลืออยู่ นอกจากที่บ้านเชียงแล้ว การขุดค้นยังพบหลักฐานเกี่ยวกับผ้าอื่นๆ จำนวนหนึ่งรวมทั้งไหมด้วย ที่บ้านนาดี จังหวัดอุดรธานี หลักฐานสำคัญที่พบคือ ด้ายที่ใช้เป็นสายสร้อยคอ ใยปั่นเป็นเกลียวทำเป็นด้าย ผ้าเป็นผืน พบเพียงเศษๆ และเส้นไหมซึ่งมีใยขนาดต่างๆ กัน แสดงว่ามีการใช้ผ้าไหมเป็นของพื้นเมืองในดินแดนแถบนี้มาช้านานแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้ทั้งสองทางว่าเมื่อมีการย้ายถิ่นฐานของผู้คน อาจนำวัฒนธรรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมติดตัวไปด้วย และอาจเรียนรู้จากคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ก่อนแล้วในดินแดนภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ แต่การเลี้ยงไหมในสมัยโบราณคงไม่ได้ทำกันเป็นล่ำเป็นสันจนถึงกับเป็นการค้า นอกจากจะเลี้ยงไหมไว้เพื่อทอเป็นเครื่องนุ่งห่มใช้ในครอบครัวเท่านั้น เพราะมีหลักฐานว่ามีการค้าขายผ้าไหมกับจีนตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา สินค้าที่เรือสำเภาจีนบรรทุกมาค้าขายกับไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีผ้าแพรไหมรวมอยู่ในบัญชีสินค้า และในราชสำนักไทย เจ้านายทรง พัสตราภรณ์ที่ตัดจากผ้าไหมจีน รวมถึงผ้าไหมญี่ปุ่นและผ้าไหมอินเดียด้วย
          ไหม เป็นแมลง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Bombyx mori อยู่ในวงศ์ Bombycidae ไหมเป็นแมลงมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์(completely metamorphosis insect) แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ไข่(silkworm egg) ตัวหนอน(silkworm) ดักแด้(silk pupa) และผีเสื้อ(silk moth) มีเพียงระยะตัวหนอนเท่านั้นที่กินอาหาร ซึ่งจะนำสารชนิดต่างๆจากใบหม่อนไปสร้างความเจริญเติบโต โดยผ่านการย่อยและดูดซึมเป็นปริมาณ 1 ใน 3 ของสารอาหารทั้งหมด ครึ่งหนึ่งของโปรตีนที่ดูดซึมจากใบหม่อนจะถูกนำไปใช้ผลิตสารไหม(silk protein) ได้แก่ซิริซิน หรือเซริซิน(sericin) เป็นกาวไหมหุ้มเส้นไหมที่อยู่ด้านในซึ่งเป็นโปรตีนไฟโบรอิน(fibroin) เมื่อหนอนไหมถึงวัย5 วันแรกต่อมไหม (silk gland) จะหนักเพียง 6.36% ของน้ำหนักตัวไหม เมื่อไหมสุกก่อนเข้าทำรัง ต่อมไหมจะหนักถึง 41.97% จะเห็นว่าปลายวัย5 สารอาหารโดยเฉพาะโปรตีนเกือบทั้งหมดถูกเปลี่ยนไปเป็นสารที่จะใช้ชักใยทำรัง และเป็นเส้นใยที่มีคุณค่ามหาศาลหาที่เปรียบมิได้ หลังจากที่มีการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ไหมมากกว่า 2,000 ปี ทำให้หนอนไหมและผีเสื้อไหมสูญเสียคุณลักษณะเดิมไปหมดแล้ว ไม่สามารถบินได้ หรือหาอาหารกินเองในธรรมชาติได้ ทำให้การเลี้ยงไหมและการจัดการสะดวกสบายขึ้น ทุกวันนี้เส้นใยไหมนอกจากจะใช้เป็นแพรภัณฑ์อันวิจิตรงดงาม ยากที่เส้นใยอื่นจะเทียบเทียมได้แล้ว ยังนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆได้มากมายหลายอย่าง เช่นเดียวกับการนำหนอนไหม ดักแด้ไหม และมูลไหมมาใช้ประโยชน์อีกด้วย

คุณประโยชน์ของไหม มีการค้นพบอย่างไม่จบสิ้น

          1. สิ่งทอ ไหมเป็นสิ่งทอที่ล้ำค่ามากกว่าสิ่งของอื่นๆ จนได้รับสมญานามว่า “ ราชินีแห่งเส้นใย” แม้ไหมจะมีข้อเสียคือ ยืดหยุ่นได้น้อย ยับง่าย และซักยาก แต่ข้อเสียเหล่านี้ก็ได้กำจัดหรือทำให้ลดน้อยลงไป โดยการใช้สารเคมีหลายชนิดในขบวนการผลิต เพื่อทำให้ผ้าไหมซักง่ายขึ้น ลดการยับและลดการทำให้ผ้าเหลืองลงได้ ยังมีการพัฒนาเส้นไหมดิบให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยการตีเกลียวเส้นไหมในทิศทางกลับกันและถี่ขึ้น ใช้เส้นใยที่มีขนาดใหญ่ เส้นใยชนิดนี้จะมีคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ดี กำจัดข้อเสียต่างๆ ออกได้ ด้วยความเป็นเส้นใยที่ได้จากสัตว์ ไหมจึงได้เปรียบเหนือกว่าฝ้าย ไหมมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมในการระบายอากาศ ดูดซับความร้อน ทำให้ร่างกายสบาย มีการดูดซับน้ำและระบายความชื้นได้ดี สามารถดูดซับน้ำได้มากกว่าฝ้าย 1.5 เท่า แต่ระบายความชื้นได้เร็วกว่า 50% และดูดซับความร้อนไว้ที่เนื้อผ้าได้สูงกว่า 13-21% ปกติอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์บริเวณเต้านม และต้นขาประมาณ 33.3-34.20 ซ. เมื่อสวมใส่ชุดผ้าไหมจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายบริเวณดังกล่าวลดลงเหลือ 31-330 ซ. แต่ต้องไม่ใช่ชุดผ้าไหมที่ซับในด้วยผ้าที่ผลิตจากเส้นใยชนิดอื่นนะครับ ดังนั้น จึงทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกอบอุ่นในฤดูหนาว แต่จะเย็นสบายในฤดูร้อน ไม่เหนียวเหนอะหนะเวลาสวมใส่ผ้าไหม ด้วยเหตุผลดังกล่าว ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ที่มีอากาศร้อนและหนาวในรอบ 1 ปี จึงพัฒนาชุดชั้นในที่ทำด้วยเส้นใยไหม ดึงดูดความสนใจได้มากกว่าเส้นใยสังเคราะห์อื่นๆ นอกจากจะใช้ผ้าไหมเป็นเครื่องนุ่งห่มแล้วยังใช้เป็นเคหะสิ่งทอ อาทิ ผ้าม่าน และผ้าหุ้มชุดเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ ในอดีต ถุงน่องสุภาพสตรี ทำจากไหมเพียงอย่างเดียว ภายหลังใยสังเคราะห์ไนล่อน เข้ามาทดแทนไหมได้เกือบสมบูรณ์ เนื่องจากมีความเหนียวและทนทาน ยึดหยุ่นดีและราคาถูก แต่ไหมยังดีกว่าไนล่อนอยู่มากกว่าในด้านการสัมผัส การดูดซับความร้อนและระบายอากาศ จึงได้มีการพัฒนาเส้นไหมผสม (hybrid Silk) เพื่อรวมคุณสมบัติที่ดีของเส้นใยทั้ง 2 ชนิดไว้ด้วยกัน

          2. เครื่องสำอาง โปรตีนไหม ชนิดไฟโบรอิน(silk fibroin) เป็นเลิศแห่งมอยซ์เจอไรเซอร์ ที่สามารถใช้ความชุ่มชื่นสูงถึง 300 เท่า ของน้ำหนัก มีสารช่วยป้องกันผิวแห้ง มีสารลดการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสและสารต้านไวรัส เป็นผงโปรตีนไหมสกัดจากเส้นไหมที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับผิวหนังด้วยกระบวนการทางชีวเคมีดุจเดียวกับธรรมชาติผิว นั่นเป็นสรรพคุณของไหมที่บริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่งที่ผลิตครีมบำรุงความชุ่มชื่นผิวจากโปรตีนไหม กล่าวถึงไหมนอกจากจะครองความเป็นเลิศในเรื่องของเส้นใยแล้ว ยังเป็นวัสดุที่มีคุณค่า เมื่อนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาพัฒนา เนื่องจากเส้นใยไหมส่วนใหญ่ (90%) เป็นโปรตีนที่มีความใกล้เคียงกับโปรตีนที่พบในร่างกายมนุษย์ ซึ่งยากยิ่งที่สารสังเคราะห์อื่นใดจะทำได้เสมอเหมือน โปรตีนจากเส้นไหมซิริซินส่วนใหญ่จะถูกความร้อนชะล้างออกไปเมื่อต้มรังในการสาวไหมเพราะเป็นกาวเหนียว มีเพียงไฟโบรอินที่ใช้ทำเป็นเส้นใย ดังนั้นในอดีตงานวิจัยจึงมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากไฟโบรอิน เมื่อ 60 ปีก่อน บริษัทเครื่องสำอางคาเนโบ แห่งประเทศญี่ปุ่น ได้นำไฟโบรอินมาหลอมให้อยู่ในรูปของสารละลายก่อนที่จะทำเป็นผงและครีม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง อันดับแรกที่ทำจากไหม โดยใช้เป็นเครื่องสำอางแต่งหน้าให้กับผู้แสดงละครคาบูกิ (kabuki) ที่จำเป็นต้องพอกหน้าด้วยเครื่องสำอางอย่างมากทำให้ผู้แสดงรู้สึกสบายผิวมากขึ้น นอกจากนั้นเมื่อต้องแสดงกลางแจ้งสามารถป้องกันอันตรายจากแสงอัลตร้าไวโอเลท (UV light) และที่สำคัญเครื่องสำอางชนิดนี้เข้ากับผิวหน้าได้ดีกว่าชนิดอื่น ต่อมา บริษัทได้ผลิตโพลิเมอร์ไหม (silk polymer) ที่ทำจากไฟโบรอิน เพื่อใช้ในวงการเสริมสวย โดยมีสรรพคุณในการป้องกันเส้นผมเสียในขณะตกแต่งหรือเปลี่ยนทรงผม ปัจจุบัน ครีมรองพื้น ครีมแต่งหน้า และครีมทำความสะอาดจะมีไฟโบรอินจากไหมเป็นส่วนผสม ญี่ปุ่นประเทศเดียวมีการใช้ไหมทำเครื่องสำอางถึงปีละ 5-6 ตัน
          กรมหม่อนไหม ได้วิจัยร่วมกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยรังสิต พบว่าผงไหมสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เนื่องจากมีกรดอะมิโนอยู่มากถึง 16-18 ชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น สามารถกำจัดเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง ทั้งยังช่วยรักษาปริมาณน้ำในผิวหนัง กำจัดสิ่งสกปรกในเซลล์และยืดอายุเซลล์ได้อีกด้วย จึงได้คิดผลิตสบู่ไหมที่มีส่วนผสมของผงไหมจากเส้นไหมพันธุ์ไทยที่มีคุณสมบัติดีกว่าไหมพันธุ์ต่างประเทศ พร้อมทูลเกล้าฯถวายสิทธิบัตรสบู่ไหมไทยแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ก่อนที่พระองค์จะพระราชทานสิทธิบัตรให้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป

          3. การแพทย์ เป็นที่ทราบกันดีว่าไหมใช้เป็นเส้นด้ายในการเย็บแผลผ่าตัด นอกจากเหนียวทนต่อการเข้าทำลายของเชื้อจุลินทรีย์แล้ว ยังเข้ากับเนื้อเยื่อของมนุษย์ได้ดี คุณสมบัติของไหมเหล่านี้จึงเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์อย่างมาก ในการที่จะหลอมเส้นไหมแล้วทำให้เป็นแผ่นหรือเป็นหลอด ก่อนที่จะเป็นผิวหนังเทียม ท่อต่อเส้นเลือดเทียม แผ่นเอ็นเทียม คอนแท็กเลนซ์ พลาสเตอร์สมานแผลให้สนิทเร็วขึ้น แม้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะทำได้ด้วยพลาสติกหรือวัสดุอื่น แต่วัสดุบางชนิดก็ถูกต่อต้านจากร่างกายสูง อีกทั้งยังพบว่าไฟโบรอิน(silk fibroin) มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อเยื่อและกระดูก คาดว่าจะมีการนำไฟโบรอินไหมมาใช้ในวิศวกรรมเนื้อเยื่อและการส่งยา
          ได้มีความพยายามที่จะผลิตเพปไทด์จากไหม (silk peptides) ที่ใช้ทางการแพทย์จากสารละลายไฟโบรอิน เพื่อลดรอยเหี่ยวย่น และทางด้านโภชนาการ เนื่องจากพบว่ากรดอะมิโนที่พบในไฟโบรอินคือ ไกลซิน(glycine) จะช่วยให้คอเรสเตอรอล และระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ และอะลานิน (alanine)จะช่วยตับทำงาน เช่น ช่วยให้อาการเมาค้างกลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกัน     เซริน(serine) จะกระตุ้นการทำงานของสมองในผู้สูงอายุ ปัจจุบันสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน)ประสบความสำเร็จในผลิตซิลค์เพปไทด์ ที่มีอนุภาคขนาด 25-50 ไมครอน มีความสามารถในการละลายน้ำ 99.8% มีลักษณะเบาฟู ไฟโบรอินจากไหมยังมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นไบโอเซ็นเซอร์(Biosensors)เพื่อตรวจจับ แอนตี้บอดี้(antibodies) ซึ่งใช้ในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง และโรคเอดส์ได้ เมื่อเร็วๆนี้มีการสกัดคลอโรฟิลล์จากมูลไหมใช้ศึกษาการขยายตัวของเซลล์มะเร็งเต้านมได้
              ไหมได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์มากขึ้นเรื่อยๆ จนได้รับการขนานนามอีกอย่างหนึ่งว่า “เส้นใยสุขภาพ ( Health Fiber)”

          4. วัสดุทดแทนนุ่น ปุยไหมชั้นนอกไม่สามารถจะนำไปสาวเป็นเส้นได้ เดิมจะมีการลอกปุยไหมชั้นนอกทิ้งไป ก่อนนำรังไปต้มเพื่อสาวเป็นเส้นไหมต่อไป ปัจจุบันจีนได้คิดค้นการใช้ประโยชน์จากปุยไหมเป็นเส้นใยยัดหมอน ที่นอน และผ้าห่ม เช่นเดียวกับการใช้รังไหมแฝดมาแช่น้ำด่างละลายกาวไหมออก ก่อนดึงเส้นใยเป็นไส้ผ้าห่มแทนนุ่น ใครไปท่องเที่ยวประเทศจีน จะต้องได้ไปชมกระบวนการผลิตผ้าห่มไหม และซื้อกลับมาใช้เมืองไทยกันเกือบทุกคน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้บริษัทเอกชนในประเทศไทยก็มีการผลิตออกจำหน่ายแล้ว นับว่าเศษวัสดุเหลือใช้จากรังไหมได้ถูกพัฒนานำมาใช้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งแล้ว

          5. สารเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร มีการทดลองเพิ่มผลผลิตข้าวด้วยโปรตีนไหม  โดยสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน)ได้ฉีดสารละลายโปรตีนไหมกับข้าวหอมปทุมธานี เปรียบเทียบกับข้าวหอมปทุมธานีที่ไม่ได้ฉีดสารละลายโปรตีนไหม ที่ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง ปรากฏว่า ข้าวหอมปทุมธานี แปลงที่ฉีดสารละลายโปรตีนไหม ต้นข้าวจะแข็งแรง ใบเขียว ลำต้นตั้งตรงกว่าต้นข้าวที่ไม่ได้ฉีด ออกรวงและเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่าประมาณ 7 วัน และให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 38.75%
          สารป้องกันกำจัดแมลง ในสหรัฐอเมริกาได้มีการสกัดสารจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Bacillus thuringiensis ที่แยกได้จากหนอนไหม นำไปใช้เป็นสารกำจัดแมลง (microbial insecticide) หรือใช้หนอนไหมเลี้ยงเชื้อราบางชนิดเพื่อผลิตเชื้อราชนิดนี้ ใช้กำจัดด้วงเจาะลำต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้ฮอร์โมนบางชนิดจากหนอนไหม ควบคุมการเจริญเติบโตของแมลง จึงมีการใช้ใช้หนอนไหมเป็นอาหารของจุลินทรีย์หลายๆชนิดที่สามารถใช้กำจัดแมลงได้ การปลูกเชื้อไวรัสที่เจือจางในหนอนไหม สามารถใช้เป็นวัคซีนป้องกันโรคของสัตว์ได้ ตลอดจนมีการศึกษาการเลี้ยงเชื้อไวรัสและจุลินทรีย์ ที่สามารถนำมาผลิตเป็นยารักษาโรคและสารที่มีประโยชน์ต่างๆใช้หนอนไหมเป็นอาหารของไส้เดือนฝอยในการขยายพันธุ์เพื่อใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชบางชนิด

          6. วัสดุชีวภาพในอุตสาหกรรมต่างๆ
                6.1 สบู่และเทียนไข ไขจากดักแด้ไหมสามารถนำมาผลิตเป็นสบู่และเทียนไขที่มีคุณภาพสูงญี่ปุ่นและอิตาลี เป็นประเทศที่ผลิตสบู่และเทียนไขคุณภาพสูงจากไขดักแด้ไหมมากเป็นอันดับ 1 และ 2 ไขมันที่สกัดได้จะนำไปผ่านกระบวนการเพิ่มไฮโดรเจน (hydrogenation) จะได้ไขสีขาว (white oil) คือ กรดสเตียริก(stearic acid) ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตสบู่และเทียนไขคุณภาพสูง
                6.2 ผงซักฟอก ไฟโบรอินจากไหม ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตผงซักฟอก ที่มีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งสกปรกได้ดี เพราะมีส่วนช่วยกระตุ้นปฏิกิริยาทางเคมี
                6.3 สารเคลือบเครื่องมืออุปกรณ์ มีการใช้ผงไหมผสมสีฉีดพ่นบนผิวเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ต้องการการสัมผัสที่นุ่มนวลเช่น ปากกา แป้นอักษรคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
                6.4 ฟิล์มไหม ใช้เคลือบผลผลิตทางการเกษตร จากการทดลองพบว่ารักษาความสดของกุ้งได้ ถึง 9วัน มากกว่าสารโพลิเมอร์ ฝ้าย ป่าน ปอ และกระดาษเคลือบ นอกจากนี้ยังมีการนำใยไหมมาทำเป็นแผ่นเช็ดเลนส์ แผ่นทำความสะอาดผิวหน้า ฯลฯ

          7. ประโยชน์อื่นๆ
                7.1 สิ่งประดิษฐ์จากรังไหม รังไหมที่ผ่ารังดักแด้ออกแล้ว สามารถนำมาประดิษฐ์เป็นดอกไม้ได้หลากชนิด เช่น ดอกทิวลิป ดอกบัว ดอกเฟื่องฟ้า ดอกทานตะวัน ดอกเยอบีร่า ดอกกุหลาบ หรือ ประดิษฐ์เป็นโคมไฟ ฉากกั้นห้อง รูปสัตว์ต่างๆ เช่น นก หนู ฯลฯ ใช้ประดับในอาคาร ในรถยนต์ นอกจากจะสวยงามแล้วยังสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นทั่วไปอีกด้วย
                7.2 อาหารมนุษย์ มนุษย์รู้จักบริโภคดักแด้จากหนอนไหมมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ปรากฏ แต่ชาวไทยที่เคยเลี้ยงไหม หรือสาวไหม ล้วนแล้วแต่รู้จักการบริโภคดักแด้ที่อยู่ในรังไหมเป็นอย่างดี เมื่อต้มรังไหมและสาวไหมจนหมดเส้นใยก็มักจะลอกเปลือกรังชั้นใน นำดักแด้ที่สุกแล้วมาบริโภค หรือนำไปคั่วก็อร่อยไปอีกแบบหนึ่งหรือนำไปปรุงงอาหารชนิดอื่นก็ได้ เช่น ยำ ทอดกับไข่ ผัดกระเพรา ตลาดในภาคอีสาน จะมีดักแด้ไหมขายตามฤดูกาลเลี้ยง  ชาวญี่ปุ่นก็บริโภคดักแด้ไหมที่ปรุงแล้วเช่นเดียวกับ ชาวจีน เกาหลี อินเดีย และพม่า ดักแด้ไหมมีโปรตีนและเกลือแร่หลายชนิด มีคุณค่าทางอาหารสูงเพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายชนิดถึง 68%เช่น กรดไลโนเลอิกซึ่งเป็นสารในกลุ่มโอเมก้า-6 ที่เป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างสมองร่วมกับการทำงานของโอเมก้า-3 ที่ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน และกรดไลโนเลนิก ซึ่งเป็นสารในกลุ่มโอเมก้า-3 จำเป็นต่อการทำงานของสมองในด้านการมองเห็น การปรับตัว การเรียนรู้ อารมณ์ นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วย วิตามินบี 1 บี 2
                “ผงไหม” ยังมีสารที่ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดสลายแอลกอฮอล์ในร่างกาย ช่วยลดการตายของเซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ดังนั้น จึงมีการนำมาผสมในอาหาร นอกจากจะเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังมีประโยชน์ดังกล่าวข้างต้น สำหรับผลิตภัณฑ์ที่นำผงไหมไปเป็นส่วนผสมเชิงการค้า เช่น ไส้กรอก กุนเชียง ลูกชิ้น ไอศกรีม บะหมี่ หมูยอ กุนเชียงที่ใส่ผงไหม ลักษณะจะนุ่มเหมือนกับของซึ่งทำออกใหม่ ลักษณะเนื้อเหมือนกับว่าผสมหมูเนื้อแดงในอัตราส่วนที่มากและสีสันยังสด เนื้อนุ่ม ชวนรับประทาน ส่วนโยเกิร์ต หรือไอศกรีม จะทำให้มีเนื้อผลิตภัณฑ์ที่เนียนไม่ละลายง่าย บะหมี่ทำให้มีคุณสมบัติเหนียวนุ่มไม่ยุ่ย
                7.3 อาหารสัตว์ ดักแด้ไหมสดหรือดักแด้ไหมแห้ง สามารถนำไปเลี้ยงปลาและสัตว์อื่นได้อีกหลายชนิด เช่น สัตว์ปีก และปศุสัตว์ กำลังมีการมองหาแหล่งโปรตีนใหม่ๆทดแทนการใช้ปลาป่น ที่นับวันจะหายาก และมีราคาแพงขึ้นทุกขณะ ดักแด้ไหมป่นเป็นทางเลือกหนึ่งของการนำไปใช้ทดแทนปลาป่น ดักแด้ไหมที่สกัดไขมันแล้วจะเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพสูง กากดักแด้ไหม (cake)ที่เหลือจากการนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมการทำสบู่และเทียนไขแล้ว สามารถนำไปเป็นอาหารเสริมของปลาและสัตว์ปีกได้ มูลไหมจะมีไนโตรเจนเหลืออยู่ประมาณ 3.06%สามารถที่นำไปเป็นอาหารเสริมของปลาร่วมกับเศษใบหม่อนที่เหลือจากการเลี้ยงไหมได้ ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลมากนัก
                ในประเทศไทย การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมยังมุ่งเน้นอยู่ที่อุตสาหกรรมสิ่งทอไม่ว่าจะเป็นระดับครัวเรือนหรือระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพราะคนไทยมีความเป็นศิลปินในการผลิตผ้าไหมมาอย่างยาวนาน ไม่แพ้ชาติใดในโลก เกษตรกรจะผลิตรังไหม หรือสาวเป็นเส้นไหมขายให้กับโรงงานสาวไหม หรือพ่อค้าคนกลาง เพื่อนำไปขายให้กับผู้ประกอบการทอผ้าไหมต่อไป แม้ว่าจะมีการศึกษาและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆ ของ หนอนไหม รังไหม ดักแด้ไหม และเส้นไหมอยู่บ้างแต่ก็อยู่ในวงจำกัดและอยู่ในระยะเริ่มต้น การดำเนินงานศึกษาค้นคว้าวิจัยและพัฒนาประโยชน์จากไหมนั้น จำเป็นต้องใช้นักวิทยาศาสตร์หลายสาขาวิชา ร่วมทำงานไปพร้อมๆกัน เพื่อให้ทราบข้อมูลและพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาไหม การนำวัสดุเหลือใช้จากการทำไหมเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆให้มากขึ้น เช่น ด้านการแพทย์ และด้านความงาม ฯลฯ เพื่อเพิ่มคุณค่าของไหมให้มากขึ้น.
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.qsds.go.th/qsis_nort/inside_page.php?pageid=89
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Featured post

Handmade Soap TAYAWON คุณสมบัติของน้ำมัน ว่าด้วย Lauric Acid

น้ำมันที่ใช้ในการทำสบู่ตามปฏิกริยา "Saponification Reaction "มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันแต่ต่างกันที่ปริมาณของสารที่ส่งผลต่อค...

top social


Home Ads

designcart

Advertisement

Text Widget

About me

ฟอร์มรายชื่อติดต่อ

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

Powered By Blogger

Labels

Instagram

Facebook

Ads

Ad Banner
Responsive Ads Here

Blogroll

recentposts

Instagram