รังไหมในสบู่ TAYAWON

0 Comments
รังไหม(Silk Cocoon)

 เมื่อ 5,000 ปีก่อน มนุษย์ยังไม่รู้จักประโยชน์ของตัวไหม ตราบจนกระทั่งมีตำนานกล่าวขานถึงที่มาของไหมว่าในแผ่นดินจีนเมื่อเกือบ 5,000 ปี ตรงกับสมัยพระจักรพรรดิหวงตี้ วันหนึ่งพระองค์เสด็จไปล่าสัตว์ถึงเขาซีซัน ทรงพบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเลี้ยงตัวไหมและเก็บรวบรวมรังไหมจำนวนมากจากต้นหม่อนใหญ่ที่เชิงเขา พระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงเสด็จไปหาหญิงสาวผู้นั้น พร้อมตรัสถามว่า “ ข้าพเจ้าอยากจะเรียนวิธีการเลี้ยงและสาวเส้นไหม ท่านจะสอนให้ข้าพเจ้าได้หรือไม่?” ฝ่ายหญิงสาวตอบว่า “ คุณพ่อคุณแม่ได้สั่งไว้ว่าห้ามสอนผู้ชายที่ไม่ใช่สามีของตน” เมื่อพระองค์ทรงทราบเช่นนั้น จึงทรงรวบรวมความกล้าขออภิเษกสมรสกับหญิงสาวคนนั้น เธอก็คือเหลยจู่ ที่ตำนานจีนกล่าวว่าเป็นผู้ค้นพบวิธีปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และสาวไหมนั่นเอง

          อีกตำนานในหนังสือจีนโบราณฉบับหนึ่งชื่อไคเภ็ก กล่าวว่า เมื่อ 4,500 ปี พระนางง่วนฮุย พระมเหสีของพระเจ้าอึ้งตี่ ได้เสด็จสวนหลวงทอดพระเนตรเห็นตัวหนอนหลายตัวเกาะอยู่บนต้นหม่อน ต่อมาทรงเห็นตัวหนอนชักใยพันรอบตัวจึงหยิบมาพิจารณา เมื่อดึงออกมาจะเป็นเส้นๆ มีความเหนียวดี พระนางทรงดำริว่า ถ้านำมาทำเป็นผ้าแพรเนื้อคงดีกว่าปอป่านที่ใช้ทำเครื่องนุ่งห่มมาแต่ก่อน เมื่อพระนางสามารถเลี้ยงไหม ควบเส้นไหม ทอเป็นผืนผ้าสำเร็จตั้งแต่กาลครั้งนั้น และได้รับการถวายพระฉายาว่า “ นางพญาแห่งการหัตถกรรมไหม”
          การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอเป็นผืนผ้าไหมของจีน ถือเป็นความลับที่หวงแหนยิ่ง ตราบจนกระทั่งมีการนำผ้าไหมไปขายตามเส้นทางสายไหม ( silk road) อันเลื่องชื่อ ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียพยายามจะเรียนรู้การทำไหม หลังจากนั้นราว 1,000 ปี การทำไหมจึงแพร่ขยายไปยังประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ประเทศในคาบสมุทรอินโดจีนและอินเดีย
          สำหรับเมืองไทย แม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ใน พ.ศ. 2515 ระหว่างการขุดค้นหาหลักฐานทางโบราณคดีครั้งใหญ่ของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ได้พบหลักฐานที่เป็นผ้าของสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย คือเศษผ้าติดอยู่กับกำไลสำริด ผ้าที่พบนั้นคงมีอายุเท่ากับอายุของกำไล คือ ประมาณ 2,400-2,800 ปี ซึ่งอายุจริงของวิธีทำผ้าอาจมีมาก่อน แต่ไม่มีหลักฐานหลงเหลืออยู่ นอกจากที่บ้านเชียงแล้ว การขุดค้นยังพบหลักฐานเกี่ยวกับผ้าอื่นๆ จำนวนหนึ่งรวมทั้งไหมด้วย ที่บ้านนาดี จังหวัดอุดรธานี หลักฐานสำคัญที่พบคือ ด้ายที่ใช้เป็นสายสร้อยคอ ใยปั่นเป็นเกลียวทำเป็นด้าย ผ้าเป็นผืน พบเพียงเศษๆ และเส้นไหมซึ่งมีใยขนาดต่างๆ กัน แสดงว่ามีการใช้ผ้าไหมเป็นของพื้นเมืองในดินแดนแถบนี้มาช้านานแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้ทั้งสองทางว่าเมื่อมีการย้ายถิ่นฐานของผู้คน อาจนำวัฒนธรรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมติดตัวไปด้วย และอาจเรียนรู้จากคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ก่อนแล้วในดินแดนภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ แต่การเลี้ยงไหมในสมัยโบราณคงไม่ได้ทำกันเป็นล่ำเป็นสันจนถึงกับเป็นการค้า นอกจากจะเลี้ยงไหมไว้เพื่อทอเป็นเครื่องนุ่งห่มใช้ในครอบครัวเท่านั้น เพราะมีหลักฐานว่ามีการค้าขายผ้าไหมกับจีนตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา สินค้าที่เรือสำเภาจีนบรรทุกมาค้าขายกับไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีผ้าแพรไหมรวมอยู่ในบัญชีสินค้า และในราชสำนักไทย เจ้านายทรง พัสตราภรณ์ที่ตัดจากผ้าไหมจีน รวมถึงผ้าไหมญี่ปุ่นและผ้าไหมอินเดียด้วย
          ไหม เป็นแมลง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Bombyx mori อยู่ในวงศ์ Bombycidae ไหมเป็นแมลงมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์(completely metamorphosis insect) แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ไข่(silkworm egg) ตัวหนอน(silkworm) ดักแด้(silk pupa) และผีเสื้อ(silk moth) มีเพียงระยะตัวหนอนเท่านั้นที่กินอาหาร ซึ่งจะนำสารชนิดต่างๆจากใบหม่อนไปสร้างความเจริญเติบโต โดยผ่านการย่อยและดูดซึมเป็นปริมาณ 1 ใน 3 ของสารอาหารทั้งหมด ครึ่งหนึ่งของโปรตีนที่ดูดซึมจากใบหม่อนจะถูกนำไปใช้ผลิตสารไหม(silk protein) ได้แก่ซิริซิน หรือเซริซิน(sericin) เป็นกาวไหมหุ้มเส้นไหมที่อยู่ด้านในซึ่งเป็นโปรตีนไฟโบรอิน(fibroin) เมื่อหนอนไหมถึงวัย5 วันแรกต่อมไหม (silk gland) จะหนักเพียง 6.36% ของน้ำหนักตัวไหม เมื่อไหมสุกก่อนเข้าทำรัง ต่อมไหมจะหนักถึง 41.97% จะเห็นว่าปลายวัย5 สารอาหารโดยเฉพาะโปรตีนเกือบทั้งหมดถูกเปลี่ยนไปเป็นสารที่จะใช้ชักใยทำรัง และเป็นเส้นใยที่มีคุณค่ามหาศาลหาที่เปรียบมิได้ หลังจากที่มีการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ไหมมากกว่า 2,000 ปี ทำให้หนอนไหมและผีเสื้อไหมสูญเสียคุณลักษณะเดิมไปหมดแล้ว ไม่สามารถบินได้ หรือหาอาหารกินเองในธรรมชาติได้ ทำให้การเลี้ยงไหมและการจัดการสะดวกสบายขึ้น ทุกวันนี้เส้นใยไหมนอกจากจะใช้เป็นแพรภัณฑ์อันวิจิตรงดงาม ยากที่เส้นใยอื่นจะเทียบเทียมได้แล้ว ยังนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆได้มากมายหลายอย่าง เช่นเดียวกับการนำหนอนไหม ดักแด้ไหม และมูลไหมมาใช้ประโยชน์อีกด้วย

คุณประโยชน์ของไหม มีการค้นพบอย่างไม่จบสิ้น

          1. สิ่งทอ ไหมเป็นสิ่งทอที่ล้ำค่ามากกว่าสิ่งของอื่นๆ จนได้รับสมญานามว่า “ ราชินีแห่งเส้นใย” แม้ไหมจะมีข้อเสียคือ ยืดหยุ่นได้น้อย ยับง่าย และซักยาก แต่ข้อเสียเหล่านี้ก็ได้กำจัดหรือทำให้ลดน้อยลงไป โดยการใช้สารเคมีหลายชนิดในขบวนการผลิต เพื่อทำให้ผ้าไหมซักง่ายขึ้น ลดการยับและลดการทำให้ผ้าเหลืองลงได้ ยังมีการพัฒนาเส้นไหมดิบให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยการตีเกลียวเส้นไหมในทิศทางกลับกันและถี่ขึ้น ใช้เส้นใยที่มีขนาดใหญ่ เส้นใยชนิดนี้จะมีคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ดี กำจัดข้อเสียต่างๆ ออกได้ ด้วยความเป็นเส้นใยที่ได้จากสัตว์ ไหมจึงได้เปรียบเหนือกว่าฝ้าย ไหมมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมในการระบายอากาศ ดูดซับความร้อน ทำให้ร่างกายสบาย มีการดูดซับน้ำและระบายความชื้นได้ดี สามารถดูดซับน้ำได้มากกว่าฝ้าย 1.5 เท่า แต่ระบายความชื้นได้เร็วกว่า 50% และดูดซับความร้อนไว้ที่เนื้อผ้าได้สูงกว่า 13-21% ปกติอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์บริเวณเต้านม และต้นขาประมาณ 33.3-34.20 ซ. เมื่อสวมใส่ชุดผ้าไหมจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายบริเวณดังกล่าวลดลงเหลือ 31-330 ซ. แต่ต้องไม่ใช่ชุดผ้าไหมที่ซับในด้วยผ้าที่ผลิตจากเส้นใยชนิดอื่นนะครับ ดังนั้น จึงทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกอบอุ่นในฤดูหนาว แต่จะเย็นสบายในฤดูร้อน ไม่เหนียวเหนอะหนะเวลาสวมใส่ผ้าไหม ด้วยเหตุผลดังกล่าว ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ที่มีอากาศร้อนและหนาวในรอบ 1 ปี จึงพัฒนาชุดชั้นในที่ทำด้วยเส้นใยไหม ดึงดูดความสนใจได้มากกว่าเส้นใยสังเคราะห์อื่นๆ นอกจากจะใช้ผ้าไหมเป็นเครื่องนุ่งห่มแล้วยังใช้เป็นเคหะสิ่งทอ อาทิ ผ้าม่าน และผ้าหุ้มชุดเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ ในอดีต ถุงน่องสุภาพสตรี ทำจากไหมเพียงอย่างเดียว ภายหลังใยสังเคราะห์ไนล่อน เข้ามาทดแทนไหมได้เกือบสมบูรณ์ เนื่องจากมีความเหนียวและทนทาน ยึดหยุ่นดีและราคาถูก แต่ไหมยังดีกว่าไนล่อนอยู่มากกว่าในด้านการสัมผัส การดูดซับความร้อนและระบายอากาศ จึงได้มีการพัฒนาเส้นไหมผสม (hybrid Silk) เพื่อรวมคุณสมบัติที่ดีของเส้นใยทั้ง 2 ชนิดไว้ด้วยกัน

          2. เครื่องสำอาง โปรตีนไหม ชนิดไฟโบรอิน(silk fibroin) เป็นเลิศแห่งมอยซ์เจอไรเซอร์ ที่สามารถใช้ความชุ่มชื่นสูงถึง 300 เท่า ของน้ำหนัก มีสารช่วยป้องกันผิวแห้ง มีสารลดการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสและสารต้านไวรัส เป็นผงโปรตีนไหมสกัดจากเส้นไหมที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับผิวหนังด้วยกระบวนการทางชีวเคมีดุจเดียวกับธรรมชาติผิว นั่นเป็นสรรพคุณของไหมที่บริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่งที่ผลิตครีมบำรุงความชุ่มชื่นผิวจากโปรตีนไหม กล่าวถึงไหมนอกจากจะครองความเป็นเลิศในเรื่องของเส้นใยแล้ว ยังเป็นวัสดุที่มีคุณค่า เมื่อนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาพัฒนา เนื่องจากเส้นใยไหมส่วนใหญ่ (90%) เป็นโปรตีนที่มีความใกล้เคียงกับโปรตีนที่พบในร่างกายมนุษย์ ซึ่งยากยิ่งที่สารสังเคราะห์อื่นใดจะทำได้เสมอเหมือน โปรตีนจากเส้นไหมซิริซินส่วนใหญ่จะถูกความร้อนชะล้างออกไปเมื่อต้มรังในการสาวไหมเพราะเป็นกาวเหนียว มีเพียงไฟโบรอินที่ใช้ทำเป็นเส้นใย ดังนั้นในอดีตงานวิจัยจึงมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากไฟโบรอิน เมื่อ 60 ปีก่อน บริษัทเครื่องสำอางคาเนโบ แห่งประเทศญี่ปุ่น ได้นำไฟโบรอินมาหลอมให้อยู่ในรูปของสารละลายก่อนที่จะทำเป็นผงและครีม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง อันดับแรกที่ทำจากไหม โดยใช้เป็นเครื่องสำอางแต่งหน้าให้กับผู้แสดงละครคาบูกิ (kabuki) ที่จำเป็นต้องพอกหน้าด้วยเครื่องสำอางอย่างมากทำให้ผู้แสดงรู้สึกสบายผิวมากขึ้น นอกจากนั้นเมื่อต้องแสดงกลางแจ้งสามารถป้องกันอันตรายจากแสงอัลตร้าไวโอเลท (UV light) และที่สำคัญเครื่องสำอางชนิดนี้เข้ากับผิวหน้าได้ดีกว่าชนิดอื่น ต่อมา บริษัทได้ผลิตโพลิเมอร์ไหม (silk polymer) ที่ทำจากไฟโบรอิน เพื่อใช้ในวงการเสริมสวย โดยมีสรรพคุณในการป้องกันเส้นผมเสียในขณะตกแต่งหรือเปลี่ยนทรงผม ปัจจุบัน ครีมรองพื้น ครีมแต่งหน้า และครีมทำความสะอาดจะมีไฟโบรอินจากไหมเป็นส่วนผสม ญี่ปุ่นประเทศเดียวมีการใช้ไหมทำเครื่องสำอางถึงปีละ 5-6 ตัน
          กรมหม่อนไหม ได้วิจัยร่วมกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยรังสิต พบว่าผงไหมสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เนื่องจากมีกรดอะมิโนอยู่มากถึง 16-18 ชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น สามารถกำจัดเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง ทั้งยังช่วยรักษาปริมาณน้ำในผิวหนัง กำจัดสิ่งสกปรกในเซลล์และยืดอายุเซลล์ได้อีกด้วย จึงได้คิดผลิตสบู่ไหมที่มีส่วนผสมของผงไหมจากเส้นไหมพันธุ์ไทยที่มีคุณสมบัติดีกว่าไหมพันธุ์ต่างประเทศ พร้อมทูลเกล้าฯถวายสิทธิบัตรสบู่ไหมไทยแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ก่อนที่พระองค์จะพระราชทานสิทธิบัตรให้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป

          3. การแพทย์ เป็นที่ทราบกันดีว่าไหมใช้เป็นเส้นด้ายในการเย็บแผลผ่าตัด นอกจากเหนียวทนต่อการเข้าทำลายของเชื้อจุลินทรีย์แล้ว ยังเข้ากับเนื้อเยื่อของมนุษย์ได้ดี คุณสมบัติของไหมเหล่านี้จึงเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์อย่างมาก ในการที่จะหลอมเส้นไหมแล้วทำให้เป็นแผ่นหรือเป็นหลอด ก่อนที่จะเป็นผิวหนังเทียม ท่อต่อเส้นเลือดเทียม แผ่นเอ็นเทียม คอนแท็กเลนซ์ พลาสเตอร์สมานแผลให้สนิทเร็วขึ้น แม้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะทำได้ด้วยพลาสติกหรือวัสดุอื่น แต่วัสดุบางชนิดก็ถูกต่อต้านจากร่างกายสูง อีกทั้งยังพบว่าไฟโบรอิน(silk fibroin) มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อเยื่อและกระดูก คาดว่าจะมีการนำไฟโบรอินไหมมาใช้ในวิศวกรรมเนื้อเยื่อและการส่งยา
          ได้มีความพยายามที่จะผลิตเพปไทด์จากไหม (silk peptides) ที่ใช้ทางการแพทย์จากสารละลายไฟโบรอิน เพื่อลดรอยเหี่ยวย่น และทางด้านโภชนาการ เนื่องจากพบว่ากรดอะมิโนที่พบในไฟโบรอินคือ ไกลซิน(glycine) จะช่วยให้คอเรสเตอรอล และระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ และอะลานิน (alanine)จะช่วยตับทำงาน เช่น ช่วยให้อาการเมาค้างกลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกัน     เซริน(serine) จะกระตุ้นการทำงานของสมองในผู้สูงอายุ ปัจจุบันสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน)ประสบความสำเร็จในผลิตซิลค์เพปไทด์ ที่มีอนุภาคขนาด 25-50 ไมครอน มีความสามารถในการละลายน้ำ 99.8% มีลักษณะเบาฟู ไฟโบรอินจากไหมยังมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นไบโอเซ็นเซอร์(Biosensors)เพื่อตรวจจับ แอนตี้บอดี้(antibodies) ซึ่งใช้ในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง และโรคเอดส์ได้ เมื่อเร็วๆนี้มีการสกัดคลอโรฟิลล์จากมูลไหมใช้ศึกษาการขยายตัวของเซลล์มะเร็งเต้านมได้
              ไหมได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์มากขึ้นเรื่อยๆ จนได้รับการขนานนามอีกอย่างหนึ่งว่า “เส้นใยสุขภาพ ( Health Fiber)”

          4. วัสดุทดแทนนุ่น ปุยไหมชั้นนอกไม่สามารถจะนำไปสาวเป็นเส้นได้ เดิมจะมีการลอกปุยไหมชั้นนอกทิ้งไป ก่อนนำรังไปต้มเพื่อสาวเป็นเส้นไหมต่อไป ปัจจุบันจีนได้คิดค้นการใช้ประโยชน์จากปุยไหมเป็นเส้นใยยัดหมอน ที่นอน และผ้าห่ม เช่นเดียวกับการใช้รังไหมแฝดมาแช่น้ำด่างละลายกาวไหมออก ก่อนดึงเส้นใยเป็นไส้ผ้าห่มแทนนุ่น ใครไปท่องเที่ยวประเทศจีน จะต้องได้ไปชมกระบวนการผลิตผ้าห่มไหม และซื้อกลับมาใช้เมืองไทยกันเกือบทุกคน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้บริษัทเอกชนในประเทศไทยก็มีการผลิตออกจำหน่ายแล้ว นับว่าเศษวัสดุเหลือใช้จากรังไหมได้ถูกพัฒนานำมาใช้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งแล้ว

          5. สารเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร มีการทดลองเพิ่มผลผลิตข้าวด้วยโปรตีนไหม  โดยสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน)ได้ฉีดสารละลายโปรตีนไหมกับข้าวหอมปทุมธานี เปรียบเทียบกับข้าวหอมปทุมธานีที่ไม่ได้ฉีดสารละลายโปรตีนไหม ที่ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง ปรากฏว่า ข้าวหอมปทุมธานี แปลงที่ฉีดสารละลายโปรตีนไหม ต้นข้าวจะแข็งแรง ใบเขียว ลำต้นตั้งตรงกว่าต้นข้าวที่ไม่ได้ฉีด ออกรวงและเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่าประมาณ 7 วัน และให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 38.75%
          สารป้องกันกำจัดแมลง ในสหรัฐอเมริกาได้มีการสกัดสารจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Bacillus thuringiensis ที่แยกได้จากหนอนไหม นำไปใช้เป็นสารกำจัดแมลง (microbial insecticide) หรือใช้หนอนไหมเลี้ยงเชื้อราบางชนิดเพื่อผลิตเชื้อราชนิดนี้ ใช้กำจัดด้วงเจาะลำต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้ฮอร์โมนบางชนิดจากหนอนไหม ควบคุมการเจริญเติบโตของแมลง จึงมีการใช้ใช้หนอนไหมเป็นอาหารของจุลินทรีย์หลายๆชนิดที่สามารถใช้กำจัดแมลงได้ การปลูกเชื้อไวรัสที่เจือจางในหนอนไหม สามารถใช้เป็นวัคซีนป้องกันโรคของสัตว์ได้ ตลอดจนมีการศึกษาการเลี้ยงเชื้อไวรัสและจุลินทรีย์ ที่สามารถนำมาผลิตเป็นยารักษาโรคและสารที่มีประโยชน์ต่างๆใช้หนอนไหมเป็นอาหารของไส้เดือนฝอยในการขยายพันธุ์เพื่อใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชบางชนิด

          6. วัสดุชีวภาพในอุตสาหกรรมต่างๆ
                6.1 สบู่และเทียนไข ไขจากดักแด้ไหมสามารถนำมาผลิตเป็นสบู่และเทียนไขที่มีคุณภาพสูงญี่ปุ่นและอิตาลี เป็นประเทศที่ผลิตสบู่และเทียนไขคุณภาพสูงจากไขดักแด้ไหมมากเป็นอันดับ 1 และ 2 ไขมันที่สกัดได้จะนำไปผ่านกระบวนการเพิ่มไฮโดรเจน (hydrogenation) จะได้ไขสีขาว (white oil) คือ กรดสเตียริก(stearic acid) ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตสบู่และเทียนไขคุณภาพสูง
                6.2 ผงซักฟอก ไฟโบรอินจากไหม ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตผงซักฟอก ที่มีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งสกปรกได้ดี เพราะมีส่วนช่วยกระตุ้นปฏิกิริยาทางเคมี
                6.3 สารเคลือบเครื่องมืออุปกรณ์ มีการใช้ผงไหมผสมสีฉีดพ่นบนผิวเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ต้องการการสัมผัสที่นุ่มนวลเช่น ปากกา แป้นอักษรคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
                6.4 ฟิล์มไหม ใช้เคลือบผลผลิตทางการเกษตร จากการทดลองพบว่ารักษาความสดของกุ้งได้ ถึง 9วัน มากกว่าสารโพลิเมอร์ ฝ้าย ป่าน ปอ และกระดาษเคลือบ นอกจากนี้ยังมีการนำใยไหมมาทำเป็นแผ่นเช็ดเลนส์ แผ่นทำความสะอาดผิวหน้า ฯลฯ

          7. ประโยชน์อื่นๆ
                7.1 สิ่งประดิษฐ์จากรังไหม รังไหมที่ผ่ารังดักแด้ออกแล้ว สามารถนำมาประดิษฐ์เป็นดอกไม้ได้หลากชนิด เช่น ดอกทิวลิป ดอกบัว ดอกเฟื่องฟ้า ดอกทานตะวัน ดอกเยอบีร่า ดอกกุหลาบ หรือ ประดิษฐ์เป็นโคมไฟ ฉากกั้นห้อง รูปสัตว์ต่างๆ เช่น นก หนู ฯลฯ ใช้ประดับในอาคาร ในรถยนต์ นอกจากจะสวยงามแล้วยังสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นทั่วไปอีกด้วย
                7.2 อาหารมนุษย์ มนุษย์รู้จักบริโภคดักแด้จากหนอนไหมมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ปรากฏ แต่ชาวไทยที่เคยเลี้ยงไหม หรือสาวไหม ล้วนแล้วแต่รู้จักการบริโภคดักแด้ที่อยู่ในรังไหมเป็นอย่างดี เมื่อต้มรังไหมและสาวไหมจนหมดเส้นใยก็มักจะลอกเปลือกรังชั้นใน นำดักแด้ที่สุกแล้วมาบริโภค หรือนำไปคั่วก็อร่อยไปอีกแบบหนึ่งหรือนำไปปรุงงอาหารชนิดอื่นก็ได้ เช่น ยำ ทอดกับไข่ ผัดกระเพรา ตลาดในภาคอีสาน จะมีดักแด้ไหมขายตามฤดูกาลเลี้ยง  ชาวญี่ปุ่นก็บริโภคดักแด้ไหมที่ปรุงแล้วเช่นเดียวกับ ชาวจีน เกาหลี อินเดีย และพม่า ดักแด้ไหมมีโปรตีนและเกลือแร่หลายชนิด มีคุณค่าทางอาหารสูงเพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายชนิดถึง 68%เช่น กรดไลโนเลอิกซึ่งเป็นสารในกลุ่มโอเมก้า-6 ที่เป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างสมองร่วมกับการทำงานของโอเมก้า-3 ที่ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน และกรดไลโนเลนิก ซึ่งเป็นสารในกลุ่มโอเมก้า-3 จำเป็นต่อการทำงานของสมองในด้านการมองเห็น การปรับตัว การเรียนรู้ อารมณ์ นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วย วิตามินบี 1 บี 2
                “ผงไหม” ยังมีสารที่ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดสลายแอลกอฮอล์ในร่างกาย ช่วยลดการตายของเซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ดังนั้น จึงมีการนำมาผสมในอาหาร นอกจากจะเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังมีประโยชน์ดังกล่าวข้างต้น สำหรับผลิตภัณฑ์ที่นำผงไหมไปเป็นส่วนผสมเชิงการค้า เช่น ไส้กรอก กุนเชียง ลูกชิ้น ไอศกรีม บะหมี่ หมูยอ กุนเชียงที่ใส่ผงไหม ลักษณะจะนุ่มเหมือนกับของซึ่งทำออกใหม่ ลักษณะเนื้อเหมือนกับว่าผสมหมูเนื้อแดงในอัตราส่วนที่มากและสีสันยังสด เนื้อนุ่ม ชวนรับประทาน ส่วนโยเกิร์ต หรือไอศกรีม จะทำให้มีเนื้อผลิตภัณฑ์ที่เนียนไม่ละลายง่าย บะหมี่ทำให้มีคุณสมบัติเหนียวนุ่มไม่ยุ่ย
                7.3 อาหารสัตว์ ดักแด้ไหมสดหรือดักแด้ไหมแห้ง สามารถนำไปเลี้ยงปลาและสัตว์อื่นได้อีกหลายชนิด เช่น สัตว์ปีก และปศุสัตว์ กำลังมีการมองหาแหล่งโปรตีนใหม่ๆทดแทนการใช้ปลาป่น ที่นับวันจะหายาก และมีราคาแพงขึ้นทุกขณะ ดักแด้ไหมป่นเป็นทางเลือกหนึ่งของการนำไปใช้ทดแทนปลาป่น ดักแด้ไหมที่สกัดไขมันแล้วจะเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพสูง กากดักแด้ไหม (cake)ที่เหลือจากการนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมการทำสบู่และเทียนไขแล้ว สามารถนำไปเป็นอาหารเสริมของปลาและสัตว์ปีกได้ มูลไหมจะมีไนโตรเจนเหลืออยู่ประมาณ 3.06%สามารถที่นำไปเป็นอาหารเสริมของปลาร่วมกับเศษใบหม่อนที่เหลือจากการเลี้ยงไหมได้ ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลมากนัก
                ในประเทศไทย การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมยังมุ่งเน้นอยู่ที่อุตสาหกรรมสิ่งทอไม่ว่าจะเป็นระดับครัวเรือนหรือระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพราะคนไทยมีความเป็นศิลปินในการผลิตผ้าไหมมาอย่างยาวนาน ไม่แพ้ชาติใดในโลก เกษตรกรจะผลิตรังไหม หรือสาวเป็นเส้นไหมขายให้กับโรงงานสาวไหม หรือพ่อค้าคนกลาง เพื่อนำไปขายให้กับผู้ประกอบการทอผ้าไหมต่อไป แม้ว่าจะมีการศึกษาและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆ ของ หนอนไหม รังไหม ดักแด้ไหม และเส้นไหมอยู่บ้างแต่ก็อยู่ในวงจำกัดและอยู่ในระยะเริ่มต้น การดำเนินงานศึกษาค้นคว้าวิจัยและพัฒนาประโยชน์จากไหมนั้น จำเป็นต้องใช้นักวิทยาศาสตร์หลายสาขาวิชา ร่วมทำงานไปพร้อมๆกัน เพื่อให้ทราบข้อมูลและพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาไหม การนำวัสดุเหลือใช้จากการทำไหมเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆให้มากขึ้น เช่น ด้านการแพทย์ และด้านความงาม ฯลฯ เพื่อเพิ่มคุณค่าของไหมให้มากขึ้น.
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.qsds.go.th/qsis_nort/inside_page.php?pageid=89


You may also like

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Featured post

Handmade Soap TAYAWON คุณสมบัติของน้ำมัน ว่าด้วย Lauric Acid

น้ำมันที่ใช้ในการทำสบู่ตามปฏิกริยา "Saponification Reaction "มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันแต่ต่างกันที่ปริมาณของสารที่ส่งผลต่อค...

top social


Home Ads

designcart

Advertisement

Text Widget

About me

ฟอร์มรายชื่อติดต่อ

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

Powered By Blogger

Labels

Instagram

Facebook

Ads

Ad Banner
Responsive Ads Here

Blogroll

recentposts

Instagram